คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 227/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญายกที่ดินมีโฉนดให้โจทก์ และรับรองว่าจะจัดการแบ่งแยกให้ในภายหน้า หากไม่แบ่งให้ตามสัญญา ยอมให้โจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญา ข้อสัญญาดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 1ประสงค์จะยกที่ดินให้โจทก์โดยการทำนิติกรรม และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หาใช่เป็นกรณีสละการครอบครองไม่ เมื่อการให้รายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมให้ก็ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทจึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 อันเป็นการยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยที่ 1มิใช่เป็นการยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของ แม้โจทก์ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาเกินสิบปี โจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ที่ห้ามฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาเป็นบทกฎหมายที่จำกัดสิทธิ ต้องตีความโดยเคร่งครัด จึงห้ามเฉพาะบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบุพการีของตนเท่านั้น

ย่อยาว

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์และบริวารรื้อถอนโรงมุงจาก 2 หลัง ออกไปจากที่พิพาทห้ามเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ตามมาตรา 525 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า “การให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่..” ที่พิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด การโอนกรรมสิทธิ์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 4 ทวิแห่งประมวลกฎหมายที่ดินหนังสือสัญญาให้ตามเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 1มีความว่า ข้าพเจ้านางบุญ ทิพวรรณ (คือจำเลยที่ 1) ผู้ให้สัญญายอมแบ่งที่ดินโฉนดที่ 8848 ตำบลบางจาน อำเภอเมืองเพชรบุรี(อำเภอบ้านแหลม) ซึ่งมีเนื้อที่รวม 9 ไร่ 3 งาน 57 วา และมีชื่อข้าพเจ้าถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับเด็กชายพร เด็กชายรำเพย(คือจำเลยที่ 2 และที่ 3) เฉพาะส่วนของข้าพเจ้าทางทิศตะวันออกให้แก่นางเพี้ยน (คือโจทก์) เป็นเนื้อที่ 1 ไร่ (หนึ่งไร่ถ้วน)ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง และข้าพเจ้ารับรองจะมาจัดการแบ่งแยกให้ในภายหน้าหากข้าพเจ้าไม่แบ่งให้ตามสัญญานี้ ยอมให้นางเพี้ยน ทิพวรรณนำสัญญานี้ขึ้นร้องฟ้องยังโรงศาลให้บังคับตามสัญญานี้ได้จากข้อสัญญาดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะยกที่พิพาทให้แก่โจทก์โดยการทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หาใช่เป็นกรณีเจตนาสละการครอบครองไม่ จึงต้องบังคับตามบทกฎหมายดังกล่าว ฉะนั้นเมื่อการให้รายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมให้ก็ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทจึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ตามคำอนุญาตของจำเลยที่ 1 อันเป็นการยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยที่ 1 มิใช่เป็นการยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของตามทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏต่อมาว่าโจทก์เปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยทั้งสามว่า ไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสามต่อไป ลำพังแต่การที่โจทก์ต่อเติมขยายบ้านหลังเดิมให้กว้างขวางขึ้น ปลูกโรงมุงจาก2 หลัง ทำรั้วกันสัตว์ และใช้ประโยชน์จากที่พิพาท โดยจำเลยทั้งสามไม่ห้ามปรามและไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง หาใช่เป็นการบอกกล่าวไปยังจำเลยทั้งสามว่าโจทก์ไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยทั้งสามต่อไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 บัญญัติไว้ไม่ ดังนั้นแม้จะฟังว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปีโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ฎีกาโจทก์ในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะฟ้องแย้งขอให้ขับไล่โจทก์ได้หรือไม่นั้น เห็นว่า บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ที่ห้ามฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา เป็นบทกฎหมายที่จำกัดสิทธิ ต้องตีความโดยเคร่งครัด จึงห้ามเฉพาะบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบุพการีของตนเท่านั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็เป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ต่อเมื่อโจทก์จำเลยที่ 1 ได้สมรสกันในภายหลัง หรือโจทก์ได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร หรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 บัญญัติไว้เท่านั้นเมื่อไม่ได้ปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่ 2 และที่ 3ยังคงเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ จึงฟ้องแย้งขอให้ขับไล่โจทก์ได้ ไม่เป็นอุทลุม ฎีกาโจทก์ในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเท่ากันที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share