แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เทศบาลให้จดข้อความอันเป็นเท็จลงในบันทึกคำให้การรับรองผู้ขอมีบัตรสำหรับเจ้าบ้านหรือบุคคลน่าเชื่อถือ บันทึกคำให้การผู้ขอมีบัตรคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ อันเป็นเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในการแสดงตัวบุคคลเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,267 และพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526มาตรา 14 อันเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน มีเจตนาเดียวกันที่จะให้ทางราชการออกบัตรประชาชนให้เท่านั้น จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายใหญ่ ไม่ทราบนามสกุลคนต่างด้าวชาวกะเหรี่ยงซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง พวกของจำเลยร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยกับนายใหญ่ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายเปี่ยมศักดิ์ ตันนิรัตน์ นายอำพล อุ่นชูนางจงรัก รุ่งสว่าง พนักงานเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองโพธารามผู้มีอำนาจหน้าที่ในการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้เจ้าพนักงานดังกล่าวจดข้อความอันเป็นเท็จลงในบันทึกคำให้การรับรองผู้ขอมีบัตรสำหรับเจ้าบ้านหรือบุคคลน่าเชื่อถือบันทึกคำให้การผู้ขอมีบัตร คำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนใหม่(บ.ป. 1) ซึ่งเป็นเอกสารราชการว่านายใหญาคือนายณรงค์ เทียนทอง ผู้มีสัญชาติไทย อยู่บ้านเลขที่ 18ถนนเทียนทอง ตำบลโพธาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีซึ่งจำเลยเป็นเจ้าบ้าน ความจริงนายใหญ่เป็นคนต่างด้าวสัญชาติกะเหรี่ยง ไม่มีสิทธิขอมีบัตรประจำตัวประชาชนและนายณรงค์ก็ถึงแก่ความตายไปแล้ว ทั้งนี้โดยมีวัตถุประสงค์ให้เจ้าพนักงานหลงเชื่อว่าเป็นความจริงและออกบัตรประจำตัวประชาชนให้ จนทำให้พนักงานออกบัตรได้ออกบัตรเหลือง(บ.ป. 2) หรือใบรับคำขอมีบัตรใหม่หรือเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งใช้ได้เสมือนบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่นายใหญ่ไปโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่เทศบาลเมืองโพธารามและประชาชน จำเลยได้สนับสนุนให้นายใหญ่ซึ่งได้รับอนุญาตให้พักอยู่ที่จังหวัดราชบุรี แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยแล้วยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชน โดยจำเลยรับรองว่านายใหญ่ คือ นายณรงค์ เป็นคนมีสัญชาติไทยอยู่บ้านเลขที่ 18 ถนนเทียนทอง ตำบลโพธาราม อำเภอโพธารามจังหวัดราชบุรี ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าบ้านขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 367, 83, 86, 91พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 83 พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เรียงกระทงลงโทษฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จและฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานสนับสนุนให้ผู้ไม่มีสัญชาติไทยยื่นคำขอมีบัตร จำคุก 4 เดือน รวม 2 กระทง จำคุก 10 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267 และพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน
โจทก์และจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมหรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยได้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองโพธารามให้จดข้อความอันเป็นเท็จลงในบันทึกคำให้การรับรองผู้ขอมีบัตรสำหรับเจ้าบ้านหรือบุคคลน่าเชื่อถือ บันทึกคำให้การผู้ขอมีบัตร คำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ อันเป็นเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในการแสดงตัวบุคคล การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน มีเจตนาเดียวกันที่จะให้ทางราชการออกบัตรประจำตัวประชาชนให้เท่านั้นซึ่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 14 ได้บัญญัติเป็นความผิดเฉพาะแล้ว จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามาชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน