คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4865/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยได้รับที่ดินโดยการยกให้จากมารดาก่อนสมรสกับผู้ร้องจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1471(1) ผู้ร้องปลูกบ้านลงในที่ดินดังกล่าวโดยได้รับอนุญาตจากจำเลยซึ่งเป็นสามีแสดงว่าผู้ร้องอาศัยสิทธิของจำเลย ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลย เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยต้องออกจากที่ดินดังกล่าวของโจทก์ด้วย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง พร้อมพาบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ โฉนดเลขที่ 26599 ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 6ตุลาคม 2532 พ้นกำหนดแล้วไม่มีการรื้อถอน โจทก์ขอให้ออกหมายบังคับคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 26599 โดยได้รับความยินยอมจากจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของและเป็นสามีของผู้ร้อง ผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลยขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ เห็นว่าที่ดินโฉนดเลขที่26599 เดิมเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 2460 จำเลยได้รับการยกให้มาจากมารดาก่อนสมรสกับผู้ร้อง จึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471(1) ผู้ร้องปลูกบ้านเลขที่ 8ลงในที่ดินดังกล่าวโดยได้รับอนุญาตจากจำเลยซึ่งเป็นสามี แสดงว่าผู้ร้องอาศัยสิทธิของจำเลย ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลย เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยจะต้องออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 26599 ของโจทก์ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share