คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2949/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามเทศบัญญัติของเทศบาลนครหลวงกรุงเทพ เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2483 ข้อ 59 และ 60 การปลูกสร้างอาคารซึ่งอยู่ริมถนนที่มีความกว้างไม่ถึง 8 เมตร แต่ไม่น้อยกว่า 4 เมตร อนุญาตให้ปลูกสร้างได้สูงไม่เกิน 8 เมตร บริเวณหน้าอาคารของจำเลยที่ 1 ติดขอบซอยหรือขอบถนนกว้าง 4.60 หรือ 5.40 เมตรเท่านั้น การที่กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 โดยหัวหน้าเขตจำเลยที่ 4 อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารพิพาทสูงเกิน 8 เมตร จึงไม่ชอบด้วยเทศบัญญัติดังกล่าว แม้จะกำหนดให้ปลูกสร้างร่นห่างจากซอยเข้าไปด้านหลังอีก 3 เมตรก็ตาม
การที่ศาลพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารพิพาทส่วนที่สูงเกิน 8 เมตร หาเป็นการก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยในเรื่องการใช้ดุลพินิจของฝ่ายบริหารไม่ เพราะการอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารพิพาทเกิดขึ้นจากฝ่ายบริหารปฏิบัติฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย ศาลยุติธรรมย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ว่าคำสั่งของฝ่ายบริหารนั้นถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ก่อนจำเลยสร้างอาคารพิพาท บ้านของโจทก์ได้รับลมและแสงสว่างจากภายนอกพอสมควร เมื่อจำเลยสร้างอาคารพิพาทแล้ว ลมไม่พัดเข้าไปในบ้านของโจทก์และแสงสว่างก็ลดน้อยลง อาคารพิพาทสูงกว่าบ้านโจทก์มากอาคารที่จำเลยสร้างปิดกั้นทางลมที่พัดจากทางด้านทิศใต้ถึงปีละ 6 เดือนและปิดกั้นแสงสว่างเป็นเหตุให้โจทก์ต้องใช้แสงไฟฟ้าในเวลากลางวัน ดังนี้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ แม้จำเลยจะมีแดนกรรมสิทธิ์เหนือพ้นดินของตน แต่ก็ต้องอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 การใช้สิทธิปลูกสร้างอาคารของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านได้รับความเดือดร้อนรำคาญเกินที่ควรคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันสมควร เพราะตรงที่จำเลยปลูกสร้างอาคารพิพาทเป็นย่านประชาชนอยู่อาศัย ไม่ใช่ย่านการค้าหรือประกอบธุรกิจ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะกำจัดความเดือดร้อนรำคาญให้สิ้นไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2526)

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๙๘๑ กับบ้านเลขที่ ๕๑๘ โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ ๕๑๖ ซึ่งปลูกในที่ดินของโจทก์ที่ ๑ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๙๘๒ โดยอยู่ติดกับที่ดินและอาคารของโจทก์ทั้งสามทางด้านทิศใต้ ที่ดินของโจทก์ทั้งสามและของจำเลยที่ ๑ อยู่ในซอยสุทธิพร ๒ ถนนอโศก – ดินแดง ซอยสุทธิพร ๒ มีความกว้าง ๓.๗๕ – ๔.๐๐ เมตร มีบ้านอยู่อาศัยทั้งสองฝั่งซอยประมาณ ๒๕ หลัง มีความสูงไม่เกิน ๒ ชั้น โจทก์ทั้งสามและประชาชนต่างได้รับแสงสว่างและทางลมสม่ำเสมอ จำเลยที่ ๒ เป็นทบวงการเมือง มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๑๘ จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๔ เป็นหัวหน้าเขตพญาไทย และจำเลยที่ ๕ เป็นหัวหน้าเขตห้วยขวาง เมื่อประมาณ ๒ ปี ก่อนฟ้อง จำเลยที่ ๑ ดัดแปลงปรับปรุงปลูกสร้างอาคารโรงงานผลิตเวชภัณฑ์ในที่ดินซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๙๘๒ จากเดิมสูง ๓ ชั้นครึ่ง เป็น ๕ ชั้นครึ่ง เป็นเหตุให้ปิดบังแสงสว่างและทางลมของผู้อาศัยในซอยสุทธิพร ๒ แต่จำเลยที่ ๒ มิได้ดำเนินการกับจำเลยที่ ๑ คงปล่อยให้มีการละเมิดกฎหมายตลอดมา ต่อมาเมื่อเดือนมกราคม๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ ได้ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะทำให้ผู้อื่นเสียหาย โดยได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ ๔ ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารพาณิชย์และที่พักอาศัยมีความสูง ๑๙ เมตรในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๙๘๒ ซึ่งมีเนื้อที่เพียง ๗๔ ตารางวา จำเลยที่ ๔ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ประมาทเลินเล่อและโดยไม่สุจริต ไม่ตรวจสอบแบบแปลน ไม่ตรวจสอบความกว้างของซอยสุทธิพร ๒ ได้ออกใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารให้แก่จำเลยที่ ๑ คือใบอนุญาตเลขที่ พ.ท. ๒๗/๒๕๒๑ ซึ่งไม่ชอบด้วยเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม ต่อมาจำเลยที่ ๑ได้ขออนุญาตเปลี่ยนแปลงการปลูกสร้างอาคารเดิมเป็นโรงงานอุตสาหกรรมทำยาไทย ประชาชนได้ร้องเรียนต่อจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ขอให้ยับยั้งการก่อสร้างจำเลยที่ ๓ ส่งเรื่องให้จำเลยที่ ๒ พิจารณา ต่อมารองปลัดกรุงเทพมหานครเสนอความเห็นว่า ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ ๑ แก้ไขแบบแปลนเดิม จำเลยที่ ๒ จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตและให้ทำการสอบสวน ซึ่งมีผลให้ใบอนุญาตเลขที่ พ.ท. ๒๗/๒๕๒๑ ไม่อาจใช้ได้ต่อไป จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีสิทธิก่อสร้างและจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ ต้องออกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าว แต่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไม่ออกคำสั่งเพิกถอน จึงเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อมาที่ดินพิพาททั้ง ๓ โฉนดได้โอนไปอยู่ในความปกครองของเขตห้วยขวาง มีจำเลยที่ ๕ เป็นหัวหน้าเขตโจทก์ได้ร้องเรียนต่อจำเลยที่ ๕ ให้ยับยั้ง แต่จำเลยที่ ๕ มิได้สั่งให้ระงับการก่อสร้าง จำเลยที่ ๑ คงทำการก่อสร้างต่อมา การกระทำของจำเลยที่ ๕ จึงเป็นการละเมิดเช่นเดียวกัน ระหว่างจำเลยที่ ๑ วางเสาเข็มโจทก์ที่ ๓ ได้แจ้งให้จำเลยที่ ๑ หยุดก่อสร้างไว้ก่อน จำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามและสร้างอาคารสูงขึ้นถึง ๘ ชั้น เป็นเหตุให้ปิดบังแสงสว่างที่เคยได้รับต้องใช้ไฟฟ้าในเวลากลางวัน และปิดกั้นทางลมเป็นเหตุให้อบอ้าวเกินกว่าปกติ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๒, ๓, ๔, ๕ ร่วมกันสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ พ.ท. ๒๗/๒๕๒๑ หากไม่เพิกถอนขอให้พิพากษาว่าคำสั่งดังกล่าวไม่มีผลและไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ระงับการก่อสร้างและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ ๑ ในโฉนดเลขที่ ๒๑๙๘๒ โดยให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าไม่เคยขออนุญาตปลูกสร้างอาคารสูง ๑๙ เมตร แต่เคยขออนุญาตปลูกสร้างอาคารสูง ๑๔.๓๐ เมตร แล้วขยายเป็น ๑๕.๕๐ เมตรซอยสุทธิพร ๒ ส่วนใหญ่กว้างเกิน ๔ เมตร ตรงหน้าที่ดินจำเลยที่ ๑ กว้าง ๕.๔๐ เมตร เป็นย่านที่เจริญแล้ว มีอาคารพาณิชย์ ๓ – ๔ ชั้นโดยรอบจำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารโดยถูกต้องตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ ๑ ปลูกสร้างอาคารฝ่าฝืนระเบียบของทางราชการหรือไม่ เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานจะดำเนินการกับจำเลยที่ ๑ โดยตรง โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีอำนาจฟ้อง การขอถอนคำร้องขอแก้ไขแบบแปลนก็ดี การไม่อนุญาตให้เปลี่ยนแปลงแบบแปลนของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๕ ก็ดี ไม่กระทบกระเทือนถึงใบอนุญาตที่ พ.ท. ๒๗/๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ คงได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างได้ต่อไป โจทก์ไม่เสียหาย การที่จำเลยที่ ๑ปลูกสร้างห่างแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๙๘๒ ระยะ ๑ เมตร เป็นสิทธิของจำเลยที่ ๑ โดยชอบ อาคารของจำเลยที่ ๑ มิได้ปิดบังแสงสว่างและทางลม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๕ ให้การว่า ที่จำเลยที่ ๒ อนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ปลูกสร้างอาคารไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องในการออกใบอนุญาต ทั้งการออกใบอนุญาตเลขที่ พ.ท. ๒๗/๒๕๒๖ ชอบด้วยกฎหมายและขั้นตอนของการปฏิบัติตามระเบียบข้าราชการ จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ ๑ เปลี่ยนแปลงใบอนุญาตปลูกสร้างอาคารเดิม การไม่อนุญาตดังกล่าวจึงไม่กระทบกระเทือนถึงใบอนุญาตเลขที่ พ.ท. ๒๗/๒๕๒๖ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารที่ พ.ท. ๒๗/๒๕๒๑ ที่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๔ เป็นผู้อนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารพิพาทในส่วนที่สูงเกิน ๘ เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๙๘๒ ให้จำเลยที่ ๑ รื้อถอนอาคารพิพาท โดยให้มีความสูงเพียง ๘.๐๐ เมตร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ยื่นฎีกาต่างฉบับกัน แต่ฎีกาทั้งสองฉบับมีปัญหาสู่ศาลฎีกาทำนองเดียวกัน ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยรวมกันไป ฎีกาข้อแรกอ้างว่าใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารพิพาทที่ พ.ท. ๒๗/๒๕๒๑ชอบด้วยกฎหมายแล้วปัญหาข้อนี้เกี่ยวกับความสูงของอาคารพิพาทที่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๔ อนุญาตให้ปลูกสร้าง ซึ่งผู้อนุญาตจำต้องปฏิบัติตามข้อ ๕๙ และข้อ ๖๐ แห่งเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพ เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ. ๒๔๘๓ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ตามข้อ ๕๙ วรรคแรกบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ปลูกสร้างอาคารสูงกว่าระดับพื้นดินเกินกว่าสองเท่าของระยะจากผนังด้านหน้าของอาคารจดแนวถนนฟากตรงข้าม เว้นแต่ในกรณีอาคารตามข้อ ๖๐” และข้อ ๖๐ วรรคสามบัญญัติว่า “อาคารซึ่งอยู่ริมถนนที่มีความกว้างไม่ถึง ๘.๐๐ เมตร แต่ไม่น้อยกว่า ๔.๐๐ เมตร อนุญาตให้ปลูกสร้างได้สูงไม่เกิน ๘.๐๐ เมตร” ข้อเท็จจริงได้ความจากรายงานการเผชิญสืบของศาลชั้นต้นว่าบริเวณหน้าอาคารของจำเลยที่ ๑ และบ้านของโจทก์ทั้งสามนั้นถ้าวัดจากกำแพงรั้วด้านหนึ่งไปยังกำแพงรั้วอีกด้านหนึ่ง กว้าง ๕.๔๐ เมตร ตรงขอบซอยหรือขอบถนนซอยซึ่งห่างจากรั้วทั้งสองฝั่งซอยออกมาโดยวัดรวมร่องน้ำรูปตัววีที่ไม่ลึกเข้าไปด้วย กว้าง ๔.๖๐ เมตรเท่านั้น ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ถนนตรงที่จำเลยที่ ๑ สร้างอาคารพิพาทนี้ แม้จำเลยที่ ๑ จะกำหนดตัวอาคารพิพาทร่นห่างจากขอบซอยสิทธิพร ๒ เข้าไปด้านหลังอีก ๓.๐๐ เมตร อาคารพิพาทก็ยังเป็นอาคารที่อยู่ริมถนนตามความหมายของเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพ เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. ๒๔๘๓ข้อ ๖๐ วรรคสาม การที่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๔ อนุญาตให้จำเลยที่ ๒ ปลูกสร้างอาคารพิพาทสูงเกิน ๘.๐๐ เมตร จึงไม่ชอบด้วยเทศบัญญัติ ฯ ดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ร่นระยะการสร้างอาคารพิพาทห่างจากขอบซอยเข้าไปอีก ๓.๐๐ เมตร ก็เพื่อปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายและจำเลยที่ ๒ ยังได้ถือเป็นทางปฏิบัติตลอดมาเช่นนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการร่นระยะในกรณีเช่นนี้ กลับแสดงว่าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพ เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. ๒๔๘๓ ข้อ ๖๐ วรรคสามเพราะที่ดิน ๓.๐๐ เมตร ที่จำเลยที่ ๑ ร่นการสร้างอาคารเข้าไปนั้นมีเนื้อที่ไม่เพียงพอที่จะปลูกสร้างอาคารอีกได้ ทั้งที่ดินส่วนนี้ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ อยู่ หาใช่เป็น “ทางสาธารณะ” หรือ ถนนสาธารณะ” ตามข้อ ๑ (๖๒) (๖๓) แห่งเทศบัญญัติเดียวกันนี้ไม่ ความมุ่งหมายของเทศบัญญัติฯ ดังกล่าวที่กำหนดความสูงของอาคารให้มีส่วนสัมพันธ์กับความกว้างของถนนหรือซอย ก็เพื่อมิให้อาคารขนาดใหญ่เข้าไปปลูกสร้างอยู่ริมถนนหรือซอยที่แคบ อันจะก่อให้เกิดปัญหาภาวะการแออัดและรบกวนความปกติสุขของประชาชนแหล่งนั้น ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยกับผลของคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าถนนหรือซอยตรงที่สร้างอาคารพิพาทกว้าง ๕.๔๐ เมตร หรือ ๔.๖๐ เมตร เพราะเมื่อไม่อาจนำระยะอีก ๓.๐๐ เมตรที่ร่นการสร้างอาคารพิพาทรวมเป็นความกว้างของถนนหรือซอยตรงนั้นได้แล้ว ความกว้างของถนนหรือซอยตรงนั้นก็ไม่มีทางที่จะถือว่ากว้างถึง ๘.๐๐ เมตร ได้ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิกถอนใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารพิพาทในส่วนที่สูงเกิน ๘.๐๐ เมตร ก็หาเป็นการก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยในเรื่องการใช้ดุลพินิจของฝ่ายบริหารดังฎีกาของจำเลยไม่ เพราะการอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารพิพาทเกิดขึ้นจากฝ่ายบริหารปฏิบัติฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย ศาลยุติธรรมย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ว่าคำสั่งของฝ่ายบริหารนั้นถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ตามเทศบัญญัติฯ ข้อ ๖๐ วรรคสี่ บัญญัติว่า “คณะเทศมนตรีมีอำนาจที่จะอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารสูงกว่ากำหนดได้” นั้น จำเลยทั้งห้ามิได้ยกขึ้นต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้ในศาลชั้นต้นและไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สำหรับฎีกาในปัญหาว่า จำเลยที่ ๑ ทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามหรือไม่ ได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ปลูกสร้างอาคารพิพาทลงบนที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๙๘๒ ซึ่งมีเนื้อที่เพียง ๗๙ ตารางวา อาคารพิพาทจึงปลูกเต็มเนื้อที่ดิน โจทก์มีนาวาเอกประวิตร ปิ่นทอง พลตำรวจตรีเดช ขัตพันธ์ ร้อยโทวิรัช มณีสารหัวหน้างานวิเคราะห์และพยากรณ์ระยะนาน กรมอุตุนิยมวิทยา และข้อมูลผลการตรวจผิวพื้นเฉลี่ยรายเดือนของสถานีตรวจอากาศกรุงเทพฯ หมาย จ.๒๓ มาสืบฟังได้ว่า ก่อนจำเลยที่ ๑ สร้างอาคารพิพาทบ้านของโจทก์ทั้งสามได้รับลมและแสงสว่างจากภายนอกพอสมควร เมื่อจำเลยที่ ๑ สร้างอาคารพิพาทแล้ว ลมไม่พัดเข้าไปในบ้านของโจทก์ทั้งสามและแสงสว่างก็ลดน้อยลง อาคารพิพาทอยู่ด้านทิศใต้ของบ้านโจทก์ทั้งสามในเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน และสิงหาคมของแต่ละปี ลมจะพัดมาจากทางทิศใต้ ด้วยเหตุนี้ เมื่ออาคารพิพาทสูงกว่าบ้านของโจทก์มาก จึงเชื่อได้ว่าอาคารที่จำเลยที่ ๑ สร้างปิดกั้นทางลมที่พัดมาจากทางด้านทิศใต้ถึงปีละ ๖ เดือนและปิดกั้นแสงสว่างเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามต้องใช้แสงไฟฟ้าในเวลากลางวัน ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามแม้จำเลยที่ ๑ จะมีแดนกรรมสิทธิ์เหนือพ้นพื้นดินของตนดังที่กล่าวอ้างในฎีกาแต่ก็ต้องอยู่ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐ การใช้สิทธิปลูกสร้างอาคารของจำเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ ๕๑๘ และ ๕๑๖ ได้รับความเดือดร้อนรำคาญเกินที่ควรคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันสมควร เพราะได้ความจากการเผชิญสืบของศาลชั้นต้นว่า ซอยสุทธิพร ๒ เป็นซอยแยกจากซอยสุทธิพร และซอยสุทธิพรเป็นซอยแยกจากถนนใหญ่ชื่อถนนประชาสงเคราะห์ แสดงว่าตรงที่จำเลยที่ ๑ ปลูกสร้างอาคารพิพาทเป็นย่านประชาชนอยู่อาศัย ไม่ใช่ย่านการค้าหรือประกอบธุรกิจ โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิที่จะกำจัดความเดือดร้อนรำคาญให้สิ้นไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๗ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งห้าฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share