แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครระบุกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทโจทก์ว่า ส. หรือ ก. ลงลายมือชื่อร่วมกับ จ. หรือ อ. รวมเป็นสองคนและประทับตราสำคัญของบริษัทโจทก์แม้เอกสารสัญญาที่ทำขึ้นจะมีข้อความเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ แต่ในช่อง ‘ผู้รับสัญญา’ ในเอกสารดังกล่าวมีก.กรรมการของโจทก์ลงชื่อเพียงผู้เดียวไม่ครบจำนวนตามที่จดทะเบียนไว้เอกสารดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโดยมีข้อตกลงให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิเบิกหรือรับเงินกู้ไปจากโจทก์เป็นคราว ๆ และทำสัญญาชักส่วนลดเช็คโดยมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธินำเช็คมาแรกเงินจากโจทก์ได้ในวงเงิน 300,000 บาท และจำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ชักส่วนลดสำหรับเช็คทุกฉบับที่นำมาแลกเงิน หากโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ จำเลยที่ 1 ยอมชำระเงินให้โจทก์เต็มจำนวนตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้และหนี้ตามสัญญาชักส่วนลดเช็คของจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้ต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงิน และนำเช็คไปแลกเงินจากโจทก์หลายครั้ง และยังคงค้างชำระอยู่ 505,138.23 บาท จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า การที่โจทก์ทำสัญญากู้เงินและสัญญาชักส่วนลดเช็คกับจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำที่นอกเหนือวัตถุประสงค์ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ทำสัญญาเป็นหนังสือกับนายสุรพงษ์ว่าหนี้ทั้งหลายที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์นั้น นายสุรพงษ์จะเป็นผู้รับใช้แทนทั้งหมด และโจทก์ได้รับชำระหนี้จากนายสุรพงษ์บางส่วนแล้วเป็นเงินหนึ่งหมื่นบาท หนี้ที่จำเลยที่ 2 ประกันไว้ต่อโจทก์จึงระงับสิ้นไปเพราะผลแห่งการแปลงหนี้ใหม่ ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินคืนจำเลยที่ 2 โดยปลอดจำนอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 พานายสุรพงษ์ไปพบนายกำธรกรรมการโจทก์แล้วตกลงกับนายกำธรว่าขอให้นายสุรพงษ์เข้าเป็นลูกหนี้เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งเพื่อช่วยผ่อนชำระหนี้ แต่ยังคงให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์ต่อไปตามฐานะเดิม เอกสารซึ่งมีข้อตกลงดังกล่าวไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ จำเลยที่ 2 ไม่หลุดพ้นความรับผิด ทั้งข้อตกลงดังกล่าวนายกำธรเพียงผู้เดียวเป็นผู้ลงชื่อและประทับตรา จึงไม่ผูกพันโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินแก่จำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครระบุกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทโจทก์ว่า “นายเสริม กังวาฬวัฒนา หรือนายกำธร โกวิทยะวงศ์ ลงลายมือชื่อร่วมกับนายเจริญ พูลวรลักษณ์หรือนายอาฌอว แซ่โซว รวมเป็นสองคนและประทับตราสำคัญของบริษัท” แต่ตามสัญญารับใช้หนี้แทนในช่อง “ผู้รับสัญญา” มีนายกำธรกรรมการของบริษัทโจทก์ลงชื่อเพียงผู้เดียว ประกอบกับข้อที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่า นายสุรพงษ์ได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว10,000 บาท โดยชำระเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2520 และวันที่ 19 มกราคม 2521 ครั้งละ 5,000 บาท หากเป็นความจริงก็ไม่ใช่เป็นการชำระหนี้ตามสัญญารับใช้หนี้แทน เพราะหนี้ตามสัญญาดังกล่าวตกลงกันจะชำระงวดแรกในวันที่ 15กุมภาพันธ์ 2521 ถือไม่ได้ว่าโจทก์ให้สัตยาบันรับเข้าเป็นคู่สัญญากับนายสุรพงษ์ แม้ในสัญญารับใช้หนี้แทนจะมีข้อความเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ก็ไม่ผูกพันโจทก์ เพราะกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อแทนโจทก์ลงชื่อไม่ครบจำนวนตามที่จดทะเบียนไว้ จำเลยที่ 2 จึงไม่พ้นความรับผิด
พิพากษายืน