คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2942/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการนับระยะเวลาไว้เป็นพิเศษ การนับระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1ลักษณะ 5 เรื่องระยะเวลาอันเป็นบทบัญญัติทั่วไป
โจทก์ได้รับทราบคำสั่งของจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานในวันที่ 8กุมภาพันธ์ 2544 โจทก์มีสิทธินำคดีไปสู่ศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งโดยต้องเริ่มนับระยะเวลาดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/3 วรรคสอง และจะครบกำหนด 30 วัน ในวันที่ 10 มีนาคม 2544 ซึ่งตรงกับวันเสาร์อันเป็นวันหยุดราชการ โจทก์จึงมีสิทธินำคดีขึ้นสู่ศาลภายในวันที่ 12 มีนาคม 2544 อันเป็นวันเปิดราชการในวันแรกได้ตามมาตรา 193/8 การที่โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลแรงงานกลางในวันที่ 12มีนาคม 2544 ถือว่าโจทก์นำคดีไปสู่ศาลภายในระยะเวลาที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคหนึ่ง กำหนดไว้แล้ว
จำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างจ่ายค่าชดเชยและดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ให้แก่จำเลยร่วมซึ่งเป็นลูกจ้างภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่ง ถ้าโจทก์ประสงค์จะนำคดีไปสู่ศาลโจทก์จะต้องนำต้นเงินค่าชดเชยและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไปวางต่อศาลแรงงานกลางตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคสาม การที่โจทก์นำคดีมาสู่ศาลเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยย่อมหมายความรวมทั้งคำสั่งที่โจทก์จ่ายค่าชดเชยและดอกเบี้ยในค่าชดเชยแก่จำเลยร่วม ทั้งการวินิจฉัยในส่วนเรื่องค่าชดเชยดังกล่าวก็มีผลกระทบโดยตรงถึงดอกเบี้ยของค่าชดเชยด้วย โจทก์จึงไม่อาจที่จะอ้างว่าโจทก์คงติดใจโต้แย้งคำสั่งของจำเลยเฉพาะเรื่องเงินค่าชดเชยเท่านั้น ไม่ติดใจโต้แย้งในเรื่องดอกเบี้ยหาได้ไม่ เมื่อโจทก์นำแต่เงินค่าชดเชย 97,800 บาท มาวางโดยมิได้นำดอกเบี้ยในค่าชดเชยถึงวันฟ้องมาวางต่อศาลด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบธุรกิจประเภทโรงแรม จำเลยเป็นพนักงานตรวจแรงงาน เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2543 โจทก์เลิกจ้างนายสุทัศน์ บุญมี ลูกจ้างโจทก์เนื่องจากฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานว่าด้วยวินัยและความประพฤติ จงใจทำให้โจทก์เสียหาย มีพฤติกรรมส่อเจตนาทำให้โจทก์และแขกผู้ที่ใช้บริการโรงแรมขาดความไว้วางใจ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง โจทก์ได้ว่ากล่าวตักเตือนด้วยวาจาและลายลักษณ์อักษรหลายครั้งจนในที่สุดต้องเลิกจ้าง ต่อมานายสุทัศน์ยื่นคำร้องต่อจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานว่าโจทก์เลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยมีคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 2/2544 ลงวันที่ 22มกราคม 2544 วินิจฉัยว่า การกระทำของนายสุทัศน์ถือได้ว่าเป็นการกระทำไม่เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต นายจ้างไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า นายสุทัศน์มีพฤติกรรมส่อเจตนาทำให้ขาดความน่าไว้วางใจแต่มิใช่กรณีร้ายแรง ดังนั้น โจทก์ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่นายสุทัศน์ ในกรณีไม่จ่ายค่าชดเชยต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 15 ต่อปี จึงมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 97,800 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในระหว่างเวลาผิดนัดโดยนำจ่ายแก่นายสุทัศน์ภายใน 15 วัน นับแต่ทราบคำสั่งนั้น โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยเนื่องจากคำสั่งและคำวินิจฉัยคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กล่าวคือนายสุทัศน์กระทำผิดซ้ำหนังสือเตือน 3 ครั้ง ในเรื่องการมาทำงานสาย ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานและแขกของโรงแรม ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง โจทก์สามารถเลิกจ้างนายสุทัศน์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และเงิน 3,800 บาท เป็นเงินพิเศษได้รับจากกรณีที่มีลูกค้ามาใช้บริการ จึงมิใช่ค่าจ้าง กับจำเลยรับข้อร้องเรียนของนายสุทัศน์เป็นการไม่สุจริตเนื่องจากคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแรงงานกลาง ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของจำเลย

จำเลยให้การว่า โจทก์ทราบคำสั่งของจำเลยเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2544 วันที่9 มีนาคม 2544 จึงเป็นวันครบกำหนด 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง แต่โจทก์ไม่นำคดีไปสู่ศาลภายในกำหนดคำสั่งจำเลยจึงเป็นที่สุด นอกจากนั้นโจทก์มิได้นำเงินค่าดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี คิดเป็นเงิน 14,670 บาท ตามคำสั่งมาวางด้วย การฟ้องคดีของโจทก์ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างการพิจารณา นายสุทัศน์ บุญมี ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลแรงงานกลางอนุญาต

ศาลแรงงานกลางพิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ และคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นแล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ มีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วม แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ยื่นฟ้องคดีนี้ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน และโจทก์มิได้นำดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดซึ่งถือกำหนดจ่ายมาวางต่อศาล ถือได้ว่าโจทก์วางเงินไม่ครบถ้วนตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคหนึ่งบัญญัติไว้หรือไม่ เห็นว่า แม้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จะเป็นกฎหมายที่มีความมุ่งหมายคุ้มครองการใช้แรงงานอย่างเป็นธรรมและมีบทบัญญัติในการคุ้มครองแรงงานไว้โดยเฉพาะก็ตาม แต่พระราชบัญญัติดังกล่าวก็มิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการนับระยะเวลาไว้เป็นพิเศษแต่อย่างใด ดังนั้นการนับระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 ลักษณะ 5 เรื่องระยะเวลาอันเป็นบทบัญญัติทั่วไป โดยมาตรา 193/3 วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปีมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี” ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้รับทราบคำสั่งของจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2544 ถ้าโจทก์ไม่พอใจคำสั่งดังกล่าว โจทก์จะต้องนำคดีไปสู่ศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งโดยต้องเริ่มนับระยะเวลาดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นต้นไปตามนัยบทบัญญัติมาตรา 193/3 วรรคสอง ดังกล่าวและจะครบกำหนด 30 วันในวันที่ 10 มีนาคม 2544ซึ่งตรงกับวันเสาร์อันเป็นวันหยุดราชการ โจทก์จึงมีสิทธินำคดีนี้ขึ้นสู่ศาลภายในวันที่ 12มีนาคม 2544 อันเป็นวันเปิดทำการราชการในวันแรกได้ตามนัยมาตรา 193/8 การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลแรงงานกลางในวันที่ 12 มีนาคม 2544 จึงต้องถือว่าโจทก์นำคดีไปสู่ศาลภายในระยะเวลาที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคหนึ่งกำหนดไว้แล้ว ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ยื่นฟ้องภายในระยะเวลาที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดไว้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไปว่าการวางเงินที่จะต้องชำระตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานต่อศาลนั้น โจทก์จะต้องนำดอกเบี้ยจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานมาวางต่อศาลด้วยหรือไม่ และการที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวเป็นการพิพากษาเกินคำขอบังคับของจำเลยและจำเลยร่วมหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานได้มีคำสั่งที่ 2/2544 ลงวันที่ 22 มกราคม 2544 ให้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างจ่ายค่าชดเชยจำนวน 97,800 บาท และดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ให้แก่จำเลยร่วมซึ่งเป็นลูกจ้างภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งของจำเลย ฉะนั้นในกรณีที่โจทก์ไม่พอใจคำสั่งของจำเลยและประสงค์จะนำคดีไปสู่ศาลเพื่อให้ชี้ขาดนั้นโจทก์จะต้องนำต้นเงินค่าชดเชยและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามจำนวนที่คำนวณได้ถึงวันฟ้องไปวางต่อศาลแรงงานกลางตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 มาตรา 125 วรรคสาม บัญญัติไว้ การที่โจทก์นำคดีมาสู่ศาลเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยในคดีนี้ย่อมต้องหมายความรวมทั้งคำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยและดอกเบี้ยในค่าชดเชยแก่จำเลยร่วม นอกจากนี้การวินิจฉัยในส่วนเรื่องค่าชดเชยดังกล่าวก็มีผลกระทบโดยตรงถึงดอกเบี้ยของค่าชดเชยตามคำสั่งของจำเลยด้วย โจทก์จึงไม่อาจที่จะอ้างว่าโจทก์คงติดใจโต้แย้งคำสั่งของจำเลยเฉพาะเรื่องเงินค่าชดเชยเท่านั้น ไม่ติดใจโต้แย้งในเรื่องดอกเบี้ยหาได้ไม่ เมื่อโจทก์เพียงแต่นำเงินค่าชดเชยจำนวน 97,800 บาท มาวางต่อศาลแรงงานกลางโดยมิได้นำดอกเบี้ยในค่าชดเชยตามจำนวนที่คำนวณได้ถึงวันฟ้องมาวางต่อศาลด้วย จึงต้องถือว่าโจทก์วางเงินไม่ครบถ้วนตามคำสั่งของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 125 วรรคสาม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลย และแม้จำเลยและจำเลยร่วมจะมิได้ร้องขอให้ศาลแรงงานกลางหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดในเบื้องต้นก็ตาม แต่ปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องที่จำเลยและจำเลยร่วมได้ให้การต่อสู้ไว้เป็นประเด็นโดยตรงอยู่แล้ว ศาลแรงงานกลางจึงมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดในเบื้องต้นได้และไม่เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำขอของจำเลยและจำเลยร่วมแต่อย่างใด อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”

พิพากษายืน

Share