แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 บัญญัติห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัยในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติเป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่างรัฐกับราษฎร ซึ่งมีผลให้ราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัย ไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใช้ยันรัฐได้ แต่ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกัน เมื่อจำเลยเป็นผู้ปลูกห้องแถวพิพาทแม้จะปลูกอยู่บนที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยก็มีสิทธิยึดถือและใช้สอยห้องพิพาทกับมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้ใดเกี่ยวข้อง รวมทั้งมีสิทธิที่จะจำหน่ายห้องแถวพิพาทในสถานะเช่นเดียวกับเจ้าของเมื่อโจทก์ซื้อห้องแถวพิพาทจากจำเลย และจำเลยได้ยอมรับสิทธิของโจทก์โดยทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากโจทก์ สัญญาเช่าจึงมีผลใช้บังคับผูกพันจำเลย เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าและโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเช่าจากจำเลยได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาเช่าที่ดิน1 ไร่ พร้อมห้องแถว 2 ชั้น 3 ห้อง ห้องแถวชั้นเดียวอีก 2 ห้องและเช่าที่ดินอีก 100 ไร่ มีกำหนดเวลาเช่า 3 ปี คิดค่าเช่ารวมปีละ15,000 บาท ชำระค่าเช่าปีละครั้ง แต่จำเลยทั้งสองไม่เคยชำระค่าเช่าให้โจทก์ เมื่อครบกำหนดเวลาเช่าแล้วโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองเช่าต่อไปอีก ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองออกไปจากห้องแถวและที่ดินของโจทก์ และขอให้ชำระค่าเช่าที่ค้างชำระปีละ 15,000 บาท รวม 3 ปี และค่าเช่านับแต่วันครบกำหนดสัญญาเช่าถึงวันฟ้องอีก 6 เดือน รวมเป็นค่าเช่าค้างชำระ52,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินค่าเช่าที่ค้างชำระแต่ละปี สำหรับปีแรกนับแต่วันที่ 26 ธันวาคม2526 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน เป็นเงินค่าดอกเบี้ย2,800 บาท สำหรับปีที่สองนับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2527 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน เป็นเงินค่าดอกเบี้ย 1,680 บาทสำหรับปีที่สามนับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2528 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา6 เดือน เป็นเงินค่าดอกเบี้ย 560 บาท รวมค่าเช่าและค่าดอกเบี้ยถึงวันฟ้องทั้งสิ้น 57,540 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายบริวารและทรัพย์สินออกไปจากห้องแถวและที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเช่าที่ค้างและดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 57,540 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 52,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ห้องแถวพิพาททั้ง 5 ห้องเป็นของจำเลยทั้งสองซึ่งปลูกสร้างมานานประมาณ 15 ปีแล้ว สำหรับที่ดินจำนวน 1 ไร่ที่ใช้ปลูกบ้านดังกล่าวและที่ดินอีก 100 ไร่ เป็นที่ดินป่าสงวนแห่งชาติซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การทำสัญญาเช่าที่ดินป่าสงวนแห่งชาติมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและห้องแถวก็ได้ปลูกอยู่ในที่ดินซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวซึ่งเป็นส่วนควบบนที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยจึงไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินและห้องแถวที่จะนำไปโอนขายให้แก่โจทก์ได้ เมื่อโจทก์ไม่อาจรับโอนได้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะนำไปให้จำเลยเช่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ห้องแถวไม่เป็นส่วนควบของที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยทั้งสองจึงมีกรรมสิทธิ์ในตึกแถวดังกล่าวและสามารถนำไปโอนขายให้แก่โจทก์ได้ เมื่อโจทก์ซื้อมา โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์และมีสิทธิที่จะให้เช่าได้ จำเลยทั้งสองเช่าและผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระจากจำเลยทั้งสองได้ พิพากษาแก้ ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากห้องแถวพิพาท 5 ห้อง เลขที่ 977 หมู่ที่ 12บ้านเขาถ้ำหมี ตำบลหนองมะค่าโมง อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเช่าปีละ 3,000 บาทรวม 3 ปี เป็นเงิน 9,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 3,000 บาท นับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2526 ในต้นเงิน 3,000 บาท นับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2527 และในต้นเงิน3,000 บาท นับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายปีละ 3,000บาท แก่โจทก์นับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากห้องแถวพิพาท 5 ห้องนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 14 บัญญัติห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัยในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ก็เป็นเพียงบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่างรัฐกับราษฎร ซึ่งเป็นผลให้ราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัยไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ใช้ยันรัฐได้ แต่ในระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกัน เมื่อจำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างห้องแถวพิพาทแม้จะปลูกสร้างอยู่บนที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยก็ย่อมมีสิทธิยึดถือและใช้สอยห้องแถวพิพาทกับมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับห้องแถวพิพาทโดยมิชอบ รวมทั้งมีสิทธิที่จะจำหน่ายห้องแถวพิพาทในสถานะเช่นเดียวกับเจ้าของ เมื่อโจทก์ได้ซื้อห้องแถวพิพาทจากจำเลย และจำเลยได้ยอมรับสิทธิของโจทก์โดยทำหนังสือสัญญาเช่าห้องแถวพิพาทจากโจทก์ สัญญาเช่าจึงใช้บังคับได้มีผลผูกพันจำเลย เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระจากจำเลยได้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าห้องแถวพิพาทเป็นส่วนควบกับที่ดินป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ตามที่จำเลยทั้งสองฎีกา เพราะรัฐซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินป่าสงวนแห่งชาติมิได้เข้ามาโต้แย้งสิทธิของตนกับโจทก์จำเลยในคดีนี้ด้วยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.