คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2939/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและพรากผู้เสียหายไปจากมารดาซึ่งได้กระทำในคราวเดียวกันอันเป็นความผิดต่อผู้เสียหายและความผิดต่อมารดาของผู้เสียหาย ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลเป็นกรรมในความผิดต่างฐานต่างหากจากกัน หาใช่เป็นความผิดกรรมเดียวไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 279,284, 317, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 3, 4, 9 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 482/2529 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277, 279, 284, 317 ความผิดตามมาตรา 277 และมาตรา 279เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 277 วรรคแรกอันเป็นบทหนัก จำคุก 3 ปี และความผิดตามมาตรา 284 และมาตรา 317เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 317 วรรคสามอันเป็นบทหนัก จำคุก 5 ปี รวม 2 กระทง เป็นโทษจำคุก 12 ปีจำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 ปี นับโทษต่อจากคดีอาญา หมายเลขดำที่ 482/2529 หมายเลขแดงที่ 1027/2529ของศาลชั้นต้น
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าเด็กหญิง ท. ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์อายุ 10 ปี เป็นบุตรของนาง อ. ในวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาไปเก็บมะม่วง แล้วกลับนำผู้เสียหายไปกระทำชำเราที่ใต้พุ่มไม้ใกล้กับนากุ้งแห่งหนึ่ง จนสำเร็จความใคร่ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและพรากผู้เสียหายไปจากมารดานั้น เป็นความผิดกรรมเดียวกันหรือหลายกรรมต่างกัน พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในการพิจารณาว่าการกระทำเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันนั้นมิใช่จะพิจารณาแต่เพียงถ้าเป็นการกระทำครั้งเดียวแล้วจะต้องเป็นกรรมเดียวเสมอไปการกระทำครั้งเดียวอาจเป็นหลายกรรมต่างกันได้ หากผู้กระทำมีเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกรรมกัน หรือประสงค์จะให้เกิดผลเป็นความผิดหลายฐานต่างกัน ดังนั้น การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและพรากผู้เสียหายไปจากมารดาซึ่งได้กระทำในคราวเดียวกัน อันเป็นความผิดต่อผู้เสียหายกับความผิดต่อมารดาของผู้เสียหาย จึงถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลเป็นกรรมในความผิดต่างฐานต่างหากจากกัน หาใช่เป็นความผิดกรรมเดียวกันไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า ความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 และมาตรา 317 วรรคสามเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284 วรรคแรก อีกกรรมหนึ่ง ให้จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งจำคุก 6 เดือน รวมเป็นโทษจำคุกจำเลย 6 ปี 6 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share