คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2505/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนวันทำบันทึกเอกสารหมาย ล.3 แม้ฝ่ายโจทก์จะต้องการให้ จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทให้โจทก์ แต่จำเลยก็มิได้สมัครใจที่จะทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทขึ้นให้เป็นการผูกพันระหว่างโจทก์จำเลย ส่วนบันทึกหมายล.3 รวม 7 แผ่น ศ. ปลัดอำเภอทำขึ้นระหว่างจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของนากับล.และพวกซึ่งเป็นผู้เช่านาและผู้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่พิพาท ในแผ่นที่ 1 และที่ 2 ระบุข้อความว่าเป็น เรื่องแจ้งการขายที่ดินโดยจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่นาจะทำการขายให้โจทก์หรือนิติบุคคลอื่นใดที่โจทก์เป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้น แต่ที่ดินแปลงนี้จำเลยได้ให้ผู้มีชื่อรวม 11 รายเช่าและปลูกบ้านอยู่อาศัย จำเลยมีความประสงค์จะขายที่นาแปลงดังกล่าวในราคา 2,688,000 บาทโดยชำระเงินงวดเดียวในวันโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงขอเสนอขาย ให้ผู้เช่ามาก่อน จำเลยกับผู้เช่านารวม 8 รายได้ลงชื่อไว้ในบันทึกแผ่นที่ 2 นี้ ส่วนโจทก์มิได้ลงชื่อไว้ แผ่นที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นบันทึกเกี่ยวกับ ความยินยอมของผู้เช่านาที่ยินยอมให้จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์ และผู้เช่านาทั้งหมดขอเลิกการเช่านาโดยมีเงื่อนไขว่าผู้เช่าขอที่นาจากโจทก์ผู้ซื้อคนละ 1 ไร่ ผู้เช่าและผู้ปลูกบ้านขอค่ารื้อถอน และผู้เช่านาทั้งหมดไม่มีความต้องการจะซื้อที่นาแปลงดังกล่าว โดยมีผู้เช่านาทั้งหมดลงชื่อไว้ฝ่ายเดียวในแผ่นที่ 4 และแผ่นที่ 5 ส่วนโจทก์และจำเลยมิได้ลงชื่อไว้ สำหรับแผ่นที่ 6 เป็นบันทึกเปรียบเทียบของนายอำเภอว่าผู้เช่านาและผู้อาศัยยินดีเลิกการเช่าและรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินยอมให้เจ้าของนาขายที่นาให้โจทก์ และโจทก์ยินดียกที่นาให้ผู้เช่านารายละ 1 ไร่ และยินยอมให้ค่ารื้อบ้านแก่ผู้เช่านาและผู้อาศัยปลูกบ้าน โดยผู้เช่านาและผู้อาศัยรวม 11 ราย จำเลยในฐานะผู้ให้เช่านา โจทก์ในฐานะผู้จะซื้อกับนายอำเภอผู้เปรียบเทียบลงชื่อไว้ในแผ่นที่ 7 ดังนี้ บันทึกหมาย ล.3ที่จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องลงชื่อไว้เป็นเพียงการกระทำของจำเลยในฐานะผู้ให้เช่านาเสนอขายที่นาให้แก่ผู้เช่านาก่อน ตามที่กฎหมายบังคับไว้ มิได้มีใจสมัครที่จะมุ่งหมายให้ข้อความในบันทึกดังกล่าวเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลย บันทึกหมาย ล.3 จึงมิใช่สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 243เนื้อที่ 335 ไร่ ในราคา 2,688,000 บาท ให้แก่โจทก์โดยตกลงจะไปโอนกรรมสิทธิ์กันในวันที่ 11 ตุลาคม 2522 รายละเอียดตามเอกสารท้ายฟ้อง เมื่อถึงกำหนดแล้วจำเลยทั้งสองผิดสัญญาไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า นายหน้าของโจทก์เป็นผู้ติดต่อขอซื้อที่ดินพิพาท ซึ่งจำเลยทั้งสองแจ้งให้ทราบว่ายินดีจะขายในราคา 2,688,000 บาท แต่มีเงื่อนไขในการซื้อขายหลายประการ บันทึกตามเอกสารท้ายฟ้องเป็นเพียงการแจ้งการขายที่นาและเปรียบเทียบการตกลงเกี่ยวกับการขายที่นาระหว่างโจทก์จำเลยและผู้เช่านาซึ่งมีสิทธิซื้อที่ดินได้ก่อนคนอื่น สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่เกิดขึ้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า บันทึกตามเอกสารท้ายฟ้องเป็นสัญญาจะซื้อขายจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา พิพากษาให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ในราคา 2,688,000 บาท

จำลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบันทึกตามเอกสารท้ายฟ้องไม่เป็นสัญญาจะซื้อขายพิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 3 ถึงวันที่ 11 ตุลาคม 2522 ซึ่งเป็นวันทำบันทึกเอกสารหมาย ล.3 แม้ฝ่ายโจทก์จะต้องการให้จำเลยทั้งสองทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทให้โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองก็มิได้สมัครใจที่จะทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทขึ้นให้เป็นการผูกพันระหว่างโจทก์จำเลย ประเด็นที่ว่าบันทึกเอกสารหมาย ล.3 ที่โจทก์กับผู้เช่านาทำขึ้นในวันที่ 3 ตุลาคม 2522 และจำเลยทั้งสองได้ลงชื่อไว้ในวันที่ 11 ตุลาคม 2522 นั้น เป็นสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องหรือไม่ ความข้อนี้จำเลยให้การปฏิเสธว่าจำเลยบันทึกดังกล่าวขึ้นเพื่อแจ้งการขายนาพิพาทให้ผู้เช่านาทราบและใช้สิทธิจะซื้อที่พิพาทได้ก่อนตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาเท่านั้น สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่เกิดขึ้นซึ่งเมื่อได้พิเคราะห์บันทึกเอกสารหมาย ล.3 แล้ว ปรากฏว่าเป็นบันทึกที่นายศุทธนะปลัดอำเภอคลองหลวงทำขึ้นระหว่างจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของนา กับนางละม่อมกับพวกซึ่งเป็นผู้เช่านาและผู้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่พิพาท ในแผ่นที่ 1 และที่ 2 ระบุข้อความว่าเป็นเรื่องแจ้งการขายที่ดิน โดยจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของที่นาจะทำการขายให้โจทก์หรือนิติบุคคลอื่นใดที่โจทก์เป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้น แต่ที่ดินแปลงนี้จำเลยได้ให้ผู้มีชื่อรวม 11 รายเช่าและปลูกบ้านอยู่อาศัย จำเลยทั้งสองมีความประสงค์จะขายที่นาแปลงดังกล่าวในราคา 2,688,000 บาท โดยชำระเงินงวดเดียวในวันโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงขอเสนอขายให้ผู้เช่านาก่อน แล้วจำเลยทั้งสองกับผู้เช่านารวม 8 รายได้ลงชื่อไว้ในบันทึกแผ่นที่ 2 นี้ ส่วนโจทก์มิได้ลงชื่อไว้ในบันทึกแผ่นที่ 2 แต่อย่างใด แผ่นที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นบันทึกเกี่ยวกับความยินยอมของผู้เช่านาที่ยินยอมให้จำเลยทั้งสองขายที่พิพาทให้โจทก์ และผู้เช่านาทั้งหมดขอเลิกการเช่านาโดยมีเงื่อนไขว่าผู้เช่าขอที่นาจากโจทก์ผู้ซื้อคนละ 1 ไร่รวม 8 ไร่ ผู้เช่าขอค่ารื้อถอนรายละ 10,000 บาท ส่วนผู้ปลูกบ้านขอรายละ 4,000 บาท รวม 3 ราย และผู้เช่านาทั้งหมดไม่มีความต้องการจะซื้อที่นาแปลงดังกล่าวโดยมีผู้เช่านาทั้งหมดลงชื่อไว้ฝ่ายเดียวในแผ่นที่ 4 และที่ 5 ส่วนโจทก์และจำเลยทั้งสองมิได้ลงชื่อไว้ในแผ่นที่ 4 และที่ 5 เลย สำหรับแผ่นที่ 6 เป็นบันทึกเปรียบเทียบของนายอำเภอว่า ผู้เช่านาทั้ง 8 รายและผู้อาศัย 3 รายยินดีเลิกการเช่าและรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดิน ยอมให้เจ้าของนาขายที่นาให้โจทก์ และโจทก์ยินดียกที่นาให้ผู้เช่านา 8 ราย รายละ 1 ไร่ และยินยอมให้ค่ารื้อบ้านแก่ผู้เช่านา 10,000 บาท แก่ผู้อาศัยปลูกบ้าน 3 ราย รายละ 4,000 บาท โดยผู้เช่านาและผู้อาศัยรวม 11 ราย จำเลยทั้งสองในฐานะผู้ให้เช่านาและโจทก์ในฐานะผู้จะซื้อกับนายอำเภอผู้เปรียบเทียบลงชื่อไว้ในแผ่นที่ 7 จากข้อความตามบันทึกหมาย ล.3 ทั้ง 7 แผ่นดังกล่าวมาแล้ว แม้ในแผ่นที่ 1 ตอนต้นในช่องดังกล่าวหาว่า จะระบุว่าเป็นเรื่องแจ้งการขายที่ดิน แต่ในแผ่นที่ 2 ตอนท้ายสุดก็ระบุข้อความว่า ข้าพเจ้าเจ้าของที่ดินมีความประสงค์ที่จะขายที่นาแปลงดังกล่าวในราคา 2,688,000 บาท โดยชำระเงินงวดเดียวในวันโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงขอเสนอขายให้กับผู้เช่านาก่อน โดยจำเลยทั้งสองกับผู้เช่าทั้งหมดเท่านั้นที่ลงชื่อไว้ในแผ่นที่ 2 นี้ ส่วนโจทก์หาได้ลงชื่อไว้ไม่ เมื่อพิจารณาประกอบกับข้อความในบันทึกแผ่นที่ 1 ตอนต้นที่ว่าเป็นบันทึกที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของนาและนางละม่อมกับพวกซึ่งเป็นผู้เช่านาโดยไม่มีโจทก์เข้าเป็นคู่กรณีด้วยแล้ว ก็เป็นที่เห็นได้ว่าบันทึกเอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 1 และที่ 2 ที่จำเลยทั้งสองกับผู้เช่านาได้ลงชื่อไว้นั้นเป็นเพียงข้อเสนอของจำเลยทั้งสองที่เสนอขายที่พิพาทให้ผู้เช่านาก่อนที่จะขายให้โจทก์ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นเท่านั้น ส่วนบันทึกเอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 3 ถึงที่ 5 ก็มีแต่ข้อความแสดงถึงการขอเลิกการเช่านาและการบอกกล่าวไม่ประสงค์จะซื้อที่นาแปลงที่จำเลยทั้งสองเสนอขายของผู้เช่านาและผู้อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่นาที่แสดงต่อโจทก์ รวมทั้งข้อเสนอของผู้เช่านาและผู้อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่นาที่ขอที่ดินและขอค่าขนย้ายจากโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่นา จากจำเลยทั้งสองต่อไป โดยมีผู้เช่านาและผู้อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่นารวม 11 รายลงชื่อไว้ในบันทึกแผ่นที่ 4 และที่ 5 เพียงฝ่ายเดียว บันทึกทั้ง 3 แผ่นนี้เมื่อพิจารณารวมกันแล้วก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง สำหรับบันทึกเอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 6 เป็นคำเปรียบเทียบของนายอำเภอซึ่งมีข้อความว่า 1. ผู้เช่านาและผู้อาศัยยินดีเลิกการเช่านาและรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินและยอมให้จำเลยทั้งสองขายนาให้แก่โจทก์ 2. โจทก์ยินดียกที่นาให้แก่ผู้เช่านา 8 ราย รายละ 1 ไร่ 3. โจทก์ยินดีมอบเงินค่ารื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้เช่านา 8 ราย เป็นเงิน 10,000 บาท 4. โจทก์ยินดีจะมอบค่ารื้อถอนบ้านให้แก่ผู้อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินรายละ 4,000 บาท รวม 3 รายเป็นเงิน 12,000 บาท 5. เงินตามข้อ 3.4 จะจ่ายให้เมื่อผู้เช่านาผู้ปลูกสร้างออกไปจากที่ดินแล้ว 6. ผู้เช่านาและผู้ปลูกบ้านทั้ง 11 รายจะไม่เรียกร้องสิ่งใดนอกเหนือจากที่ได้ตกลงไว้แล้ว โดยผู้เช่านาและผู้อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินทั้ง 11 ราย จำเลยทั้งสองในฐานะผู้ให้เช่านา โจทก์ในฐานะผู้จะซื้อและนายอำเภอผู้เปรียบเทียบได้ลงชื่อไว้ในแผ่นที่ 7 ข้อความในคำเปรียบเทียบของนายอำเภอดังกล่าวในแผ่นที่ 6 แม้ข้อ 1 จะกล่าวถึงจำเลยทั้งสองด้วย แต่ความในข้อ 1 ก็เป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวของผู้เช่านาและผู้อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่นาที่บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองทราบว่ายินดีเลิกการเช่านาและยอมให้จำเลยทั้งสองขายนาให้โจทก์ส่วนความในข้อ 2 ถึงข้อ 6 ก็ล้วนแต่เป็นข้อตกลงยินยอมตามข้อเรียกร้องของผู้เช่านาและผู้อาศัยอยู่ในที่นาได้เสนอไว้ในบันทึกเอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 3 ถึงที่ 5 ทั้งสิ้น ไม่กี่ยวกับจำเลยทั้งสองแต่อย่างใดที่จำเลยทั้งสองลงชื่อไว้ในแผ่นที่ 7 ก็เป็นการลงชื่อในฐานะผู้ให้เช่านา หาใช่ฐานะผู้จะขายไม่ และเมื่อได้พิเคราะห์ข้อความในบันทึกเอกสารหมาย ล.3 ทั้ง 7 แผ่นรวมเข้าด้วยกันประกอบกับข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่า ก่อนวันที่ 3 ตุลาคม 2522 นั้น ฝ่ายจำเลยไม่ยินยอมที่จะทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทให้ตามที่ฝ่ายโจทก์เรียกร้องตลอดมาแล้ว ก็เป็นที่เห็นได้เพียงว่าที่จำเลยทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้องลงชื่อไว้ในเอกสารหมาย ล.3 นั้น จำเลยได้กระทำไปในฐานะผู้ให้เช่านาเพื่อเสนอขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่นาให้แก่บรรดาผู้เช่านาก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 บังคับไว้เท่านั้นเอง จำเลยทั้งสองหาได้มีใจสมัครที่จะมุ่งหมายให้ข้อความที่ปรากฏในบันทึกเอกสารหมาย ล.3 เป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้บันทึกหมาย ล.3 ที่โจทก์อ้างมาท้ายฟ้อง จึงมิใช่สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองที่โจทก์จะนำมาฟ้องร้องบังคับจำเลยได้

พิพากษายืน

Share