แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ให้การในชั้นสอบสวนว่า ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะลงมือรัดคอผู้ตายครั้งแรก ผู้ตายด่าว่าจำเลยที่ 1 ว่า “ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ หลอกกูมารออีกแล้ว หลอกกูทำเหี้ยอะไร” ซึ่งคำด่าของผู้ตายนี้ เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 เองที่หลอกผู้ตายมายังที่เกิดเหตุ และการที่จำเลยที่ 1 รัดคอผู้ตายครั้งที่ 2 แม้ผู้ตายจะด่าจำเลยที่ 1 ด้วยถ้อยคำรุนแรงว่า “ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ พ่อมึงตาย ไอ้เลว ไอ้ชั่ว” ก็มีสาเหตุจากจำเลยที่ 1 รัดคอผู้ตายครั้งที่ 1 และเอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น กับแหวนทองคำ 2 วง ของผู้ตายไป จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อเหตุขึ้นก่อนทั้งสิ้น เมื่อผู้ตายด่าตอบโต้การกระทำของจำเลยที่ 1 มาเช่นนี้ จึงไม่อาจถือเป็นเหตุว่าผู้ตายข่มเหงจำเลยที่ 1 อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมได้ กรณีที่ไม่ถือว่า จำเลยที่ 1 กระทำโดยบันดาลโทสะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 288, 339, 340 ตรี ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ หมวกนิรภัย และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า หมายเลขทะเบียน ขคว กาญจนบุรี 732 ของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางน้อง ยื่นคำร้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนค่าขาดไร้อุปการะ 100,000 บาท และค่าปลงศพ 50,000 บาท รวมเป็นเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 339 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคท้าย การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่เนื่องจากมาตรา 340 วรรคท้าย (ที่ถูก 339 วรรคท้าย) มีโทษถึงประหารชีวิตจึงไม่อาจวางโทษให้หนักขึ้นอีกกึ่งหนึ่งตามมาตรา 340 ตรี ได้ ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุกตลอดชีวิต จำเลยที่ 2 จำคุก 9 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อเลโนโว่สีดำ 1 เครื่อง หมวกนิรภัย ยี่ห้ออินเด็กซ์สีขาว 1 ใบ รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า หมายเลขทะเบียน ขคว กาญจนบุรี 732 จำนวน 1 คัน รถจักรยานยนต์พ่วงข้าง หมายเลขทะเบียน ขคข กาญจนบุรี 604 จำนวน 1 คัน และกระเป๋าสะพายผ้าลายสีน้ำตาล 1 ใบ ของกลางแก่เจ้าของ และให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2558 อันเป็นวันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ยกคำร้องของผู้ร้องสำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นและชิงทรัพย์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 และความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะ จำคุก 12 ปี กระทงหนึ่ง ฐานลักทรัพย์ผู้อื่น จำคุก 2 ปี อีกกระทงหนึ่ง จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง จำคุก 2 ปี คำให้การจำเลยทั้งสองชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามทุกกระทงความผิดไป เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี และ 1 ปี 4 เดือน ตามลำดับ รวมสองกระทงคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 9 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ใช้สายสะพายกระเป๋าของผู้ตายรัดคอผู้ตาย จากนั้นถอดเอาสร้อยคอทองคำและแหวนทองคำ 2 วง ของผู้ตายไป แล้วจำเลยที่ 2 นำสร้อยคอทองคำและแหวนทองคำดังกล่าวไปจำนำที่สถานธนานุบาลเทศบาลตำบลท่าม่วง ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนส่งศพผู้ตายไปตรวจที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ผลการตรวจปรากฏว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากสมองขาดอากาศจากการกดรัดบริเวณลำคอ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ถือว่ามีเจตนาฆ่าผู้ตายเพื่อจุดประสงค์ในการชิงทรัพย์ของผู้ตายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและตามคำฟ้องของโจทก์หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า สาเหตุที่ผู้ตายถูกฆ่า น่าจะเป็นเพราะจำเลยที่ 1 ล่อลวงผู้ตายไปยังที่เกิดเหตุเพื่อจะขายท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ ซึ่งความจริงแล้วจำเลยที่ 1 ไม่มี ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วยังหลอกให้ผู้ตายมาพบ ย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ประสงค์จะได้ทรัพย์สินของผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ถือว่าเจตนาฆ่าผู้ตายเพื่อจุดประสงค์ในการชิงทรัพย์ โจทก์มีพันตำรวจโทสมิตร พนักงานสอบสวนเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 11 นาฬิกา จำเลยที่ 1 อยากจะตบสั่งสอนผู้ตายที่เคยด่าว่าจำเลยที่ 1 จึงใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 1 ติดต่อไปหาผู้ตายหลอกว่า มีท่อไอเสียรถจักรยานยนต์จะขายให้ เนื่องจากทราบว่าผู้ตายชอบและอยากได้ท่อไอเสียมาก ผู้ตายบอกว่าจะตามไปดู นัดพบกันที่บริเวณฟาร์มนากหญ้าร้าง (สวนป่า) จำเลยที่ 1 ชวนจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ไปด้วยกัน โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ซ้อนท้าย เมื่อถึงที่นัดหมายรอสักครู่ ผู้ตายก็ขับรถจักรยานยนต์พ่วงข้างมาตามนัด และถามจำเลยที่ 1 ว่าท่อไอเสียมาหรือยัง จำเลยที่ 1 ตอบว่า ให้ใจเย็น ๆ ผู้ตายจึงด่าจำเลยที่ 1 ว่า “ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ หลอกกูมารออีกแล้ว หลอกกูทำเหี้ยอะไร” จำเลยที่ 1 ได้ยินคำดังกล่าวจึงโมโห คว้าสายสะพายกระเป๋าหนังของผู้ตายรัดคอผู้ตายได้สักพักเมื่อเห็นว่า ผู้ตายอ่อนแรงแล้ว จึงถอดเอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น และแหวนทองคำ 2 วง ของผู้ตายออก แล้วตะโกนเรียกจำเลยที่ 2 ซึ่งขณะนั้นไปถ่ายปัสสาวะในป่าห่างประมาณ 3 ถึง 4 เมตร ให้มาถือสร้อยคอและแหวนดังกล่าวไว้ และจำเลยที่ 1 พูดกับผู้ตายว่า “กูไม่คิดจะทำอะไรมึงหรอก แค่อยากจะตบสั่งสอนมึงเท่านั้น กูก็รักมึง” ผู้ตายพูดว่า “ในกระเป๋ากูมีเงินอยู่อีกสี่ห้าพัน มึงอยากได้มึงก็เอาไป” จำเลยที่ 1 พูดว่า “กูไม่อยากได้ตังค์ของมึงหรอก” แต่แทนที่ผู้ตายจะพูดขอร้องไม่ให้ทำร้าย กลับด่าจำเลยที่ 1 อีกว่า “ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ พ่อมึงตาย แม่มึงตาย ไอ้เลว ไอ้ชั่ว” ทำให้จำเลยที่ 1 โมโหขึ้นมาอีก จึงใช้สายสะพายกระเป๋าหนังของผู้ตายรัดคอผู้ตายอีกครั้ง ซึ่งคำให้การของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว มีรายละเอียดชัดเจน ยากที่จะแต่งเรื่องขึ้นเองโดยไม่มีมูลความจริง ทั้งเมื่อพิจารณาจากรายงานการตรวจศพ ก็ระบุเหตุตายว่า สมองขาดอากาศจากการกดรัดบริเวณลำคอ จึงสอดคล้องเชื่อมโยงกัน ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ใช้สายสะพายกระเป๋าหนังของผู้ตายรัดคอผู้ตาย จนถึงแก่ความตายเป็นการฆ่าผู้ตายโดยเจตนา แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดอีกที่จะแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ประสงค์ต่อทรัพย์สินของผู้ตายจึงล่อลวงผู้ตายไปที่เกิดเหตุเพื่อชิงทรัพย์ เมื่อไม่มีพยานหลักฐานให้เชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ตระเตรียมมาแต่ต้นเพื่อชิงทรัพย์หรือวางแผนจะชิงทรัพย์ของผู้ตาย ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายเพื่อจุดประสงค์ในการชิงทรัพย์ คงฟังได้เพียงว่า ผู้ตายทำให้จำเลยที่ 1 โมโห จำเลยที่ 1 จึงลงมือฆ่าผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วจำเลยที่ 1 จึงได้เอาทรัพย์ของผู้ตายไปบางส่วน กรณีเป็นการลักทรัพย์ที่มีเจตนาเกิดขึ้นหลังจากจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายแล้ว การกระทำจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตายตามมาตรา 288 และความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ต่างกรรมต่างวาระ หาเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ของผู้ตายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและตามคำฟ้องของโจทก์ดังที่โจทก์ฎีกาไม่
ส่วนปัญหาว่า จำเลยที่ 1 กระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่นั้น เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือตามคำฟ้องโจทก์นั้น ผลจึงเท่ากับโจทก์ฎีกาทำนองว่า ไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะอยู่ในตัว สำหรับปัญหานี้ เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ได้ความว่า ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะลงมือรัดคอผู้ตายครั้งแรก ผู้ตายด่าว่าจำเลยที่ 1 ว่า “ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ หลอกกูมารออีกแล้ว หลอกกูทำเหี้ยอะไร” ซึ่งคำด่าของผู้ตายเช่นนี้ เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 เองที่หลอกผู้ตายมายังที่เกิดเหตุ และการที่จำเลยที่ 1 รัดคอผู้ตายครั้งที่ 2 แม้ผู้ตายจะด่าจำเลยที่ 1 ด้วยถ้อยคำรุนแรงขึ้นว่า “ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ พ่อมึงตาย แม่มึงตาย ไอ้เลว ไอ้ชั่ว” ก็มีสาเหตุจากจำเลยที่ 1 รัดคอผู้ตายครั้งที่ 1 และเอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น กับแหวนทองคำ 2 วง ของผู้ตายไป จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อเหตุขึ้นก่อนทั้งสิ้น เมื่อผู้ตายด่าตอบโต้การกระทำของจำเลยที่ 1 มาเช่นนี้ จะถือเป็นเหตุว่าผู้ตายข่มเหงจำเลยที่ 1 อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมไม่ได้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยบันดาลโทสะตามมาตรา 72
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 334 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 ฐานฆ่าผู้ตาย จำคุก 15 ปี ฐานลักทรัพย์ จำคุก 2 ปี คำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามทุกกระทงความผิดไป คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี และ 1 ปี 4 เดือน ตามลำดับ รวม 2 กระทง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 11 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7