แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค ในฐานะที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยให้การว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ ป. เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เกี่ยวกับที่ดิน ป. เอาเช็คดังกล่าวไปชำระให้โจทก์เป็นค่าซื้อหิน 2 ก้อน ที่โจทก์อ้างว่าเป็นเหล็กไหลโดยมีเงื่อนไขว่า ป. ขอนำหินดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ก่อนว่าใช่เหล็กไหลหรือไม่ ถ้าใช่จึงจะรับซื้อ ถ้าไม่ใช่จะเอามาคืนและรับเช็คคืน ผลการพิสูจน์ปรากฏว่าไม่ใช่เหล็กไหล สัญญาซื้อขายไม่เกิดขึ้น โจทก์ต้องคืนเช็คให้ป. จึงไม่มีอำนาจฟ้องดังนี้ เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าสิทธิของโจทก์ที่ได้เช็คพิพาทมาไว้ในความครอบครอง อันเนื่องมาจากการซื้อขายดังกล่าวนั้นไม่สมบูรณ์ซึ่งทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินตามเช็คที่ฟ้องในฐานะผู้ทรง เพราะไม่มีมูลหนี้นั่นเอง อันเป็นการยกข้อต่อสู้ที่มีต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงคนปัจจุบัน มิใช่ข้อต่อสู้ที่จำเลยมีต่อผู้ทรงคนก่อนๆ จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 คดีย่อมมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับการซื้อขายเหล็กไหล ว่า วัตถุ 2 ก้อนที่โจทก์ขายนั้นเป็นเหล็กไหลหรือไม่ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าไม่ใช่เหล็กไหล สัญญาซื้อขายเหล็กไหลก็ไม่มีต่อกัน จึงไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะเรียกร้องเงินตามเช็คจากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวนเงิน 100,000 บาท โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คฉบับนั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามจำเลยก็เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ตกลงขายหิน 2 ก้อนอ้างว่าเป็นเหล็กไหลให้นายประเสริฐกับนางอัมพรในราคา 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่า นายประเสริฐกับนางอัมพรขอนำหิน 2 ก้อนไปให้ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ก่อนว่าใช้เหล็กไหลหรือไม่ถ้าใช่จึงจะรับซื้อโจทก์ให้ชำระราคาก่อน นายประเสริฐจึงนำเช็คพิพาทตามฟ้องมอบให้โจทก์ไว้ โดยตกลงกับโจทก์ว่า ถ้าไม่ใช่เหล็กไหลจะเอามาคืนและรับเช็คคืน เช็คดังกล่าวเป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายมอบให้นายประเสริฐเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางอื่นเกี่ยวกับที่ดิน นายประเสริฐนำหิน 2 ก้อน ไปพิสูจน์แล้วปรากฏว่าไม่ใช่เหล็กไหล สัญญาซื้อขายจึงไม่เกิดขึ้น โจทก์ต้องคืนเช็คพิพาทให้นายประเสริฐแต่โจทก์ไม่ยอมคืนอ้างว่านายประเสริฐสับเปลี่ยนเหล็กไหลของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ขายหิน 2 ก้อนให้จำเลยโดยจำเลยเชื่อว่าเป็นเหล็กไหล เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด นิติกรรมซื้อขายสมบูรณ์ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาททั้งไม่ได้ต่อสู้ว่าโจทก์ได้เช็คพิพาทมาโดยไม่สุจริต หรือโดยคบคิดกับผู้หนึ่งผู้ใดเพื่อฉ้อฉลจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คตามกฎหมาย ข้อต่อสู้ของจำเลยที่อ้างว่า ไม่มีสัญญาซื้อขายเหล็กไหลระหว่างโจทก์กับนายประเสริฐหาทำให้จำเลยผู้ออกเช็คพ้นความรับผิดตามเนื้อความในเช็คไม่ รูปคดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าได้มีการซื้อขายเหล็กไหลกัน หรือโจทก์มีหน้าที่ต้องคืนเช็คพิพาทให้นายประเสริฐแต่อย่างใด พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาในเบื้องต้นว่า คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายเหล็กไหลตามคำให้การต่อสู้ของจำเลยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็ค ทั้งจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้เช็คมาโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือได้เช็คมาโดยคบคิดกับผู้หนึ่งผู้ใดเพื่อฉ้อฉลจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คตามกฎหมาย ข้อต่อสู้ของจำเลยเกี่ยวกับการซื้อขายเหล็กไหล่ไม่ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดในฐานะผู้ออกเช็คนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยให้การว่าสัญญาซื้อขายไม่เกิดขึ้น โจทก์ต้องคืนเช็คพิพาทให้นายประเสริฐ เท่ากับจำเลยต่อสู้ว่าสิทธิของโจทก์ที่ได้เช็คพิพาทมาไว้ในความครอบครองอันเนื่องมาจากการซื้อขายดังกล่าวนั้นไม่สมบูรณ์ซึ่งทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินตามเช็คที่ฟ้องในฐานะผู้ทรงเพราะไม่มีมูลหนี้นั่นเอง และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 916 บัญญัติว่า “บุคคลทั้งหลายผู้ถูกฟ้องในมูลตั๋วแลกเงิน หาอาจจะต่อสู้ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้สั่งจ่ายหรือกับผู้ทรงคนก่อน ๆ นั้นได้ไม่ เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล” ซึ่งมาตรา 989 บัญญัติให้นำมาใช้ในเรื่องเช็คเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสาร แต่ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับนายประเสริฐไม่เกิดขึ้นนั้น เป็นการยกข้อต่อสู้ที่มีต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงคนปัจจุบันมิใช่ข้อต่อสู้ที่จำเลยมีต่อผู้ทรงคนก่อน ๆ จึงไม่ขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าวแล้วที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการซื้อขายเหล็กไหลนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาคดีจึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับการซื้อขายเหล็กไหลว่า วัตถุ 2 ก้อนที่โจทก์ขายนั้นเป็นเหล็กไหลหรือไม่ ซึ่งความข้อนี้ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัยไว้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียเองโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างวินิจฉัย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วัตถุ 2 ชิ้น ที่โจทก์ขายไม่ใช่เหล็กไหลและวินิจฉัยต่อไปว่า เมื่อฟังว่าวัตถุ 2 ชิ้นดังกล่าวไม่ใช่เหล็กไหล สัญญาซื้อขายเหล็กไหลก็ไม่มีต่อกัน ฉะนั้น จึงไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะเรียกร้องเงินตามเช็คจากจำเลย ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คให้โจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์