คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2931/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 แต่การที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมสืบทราบว่ามีการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านของจำเลยที่ 1 และวางแผนให้สายลับไปล่อซื้อ จำเลยที่ 1 ตกลงนัดเวลาให้มารับเมทแอมเฟตามีนในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ในเวลาประมาณ 2 นาฬิกา ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจกระจายกำลังเข้าล้อมบ้านของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 มาพบจำเลยที่ 1 และออกจากบ้านไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ร่วมรู้เห็นในการกระทำผิดด้วย เพราะหากจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ซึ่งจะไปซื้อเมทแอมเฟตามีนมาเพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ย่อมจะต้องกระทำอย่างลับ ๆ เพื่อปกปิดไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ การที่จำเลยที่ 1 ชักชวนให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจร่วมไปด้วย พฤติการณ์แห่งคดีจึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบของกลาง และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 673/2541และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1071/2541 ของศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ

จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง จำคุกคนละ 10 ปีจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี ริบของกลาง ยกคำขอให้นับโทษต่อ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ โดยจำเลยที่ 1 ขอให้ลงโทษสถานเบา

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2คนละ 8 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 193 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกซุกซ่อนไว้ในถุงใส่เครื่องมือใต้เบาะรถจักรยานยนต์ แจ้งข้อหาว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่สุด มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจโทวิรัตน์เบิกความเป็นพยานว่าเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2541 พยานสืบทราบว่ามีการลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านของจำเลยที่ 1 จึงให้สายลับไปติดต่อล่อซื้อในคืนนั้น แต่ไม่สามารถล่อซื้อได้เพราะจำเลยที่ 1 บอกว่าเมทแอมเฟตามีนหมด ให้มาเอาในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ต่อมาเวลา 1 นาฬิกาของวันใหม่ พยานกับสิบตำรวจตรีทักษิณ สุวรรณกาศ และสิบตำรวจตรีชาตรี ทองภักดี กับพวก ได้กระจายกำลังเข้าล้อมบ้านของจำเลยที่ 1 ครั้นเวลาประมาณ 2 นาฬิกา พยานเห็นจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์มาที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าบ้านของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เข้าไปโทรศัพท์ สักครู่ จำเลยที่ 1 ก็เปิดประตูบ้าน จำเลยที่ 2 จูงรถจักรยานยนต์เข้าไปในบ้าน ประมาณ 5 นาที จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้าน โดยมีจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายจนกระทั่งเวลาประมาณ 5.30 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์กลับมาจอดที่หน้าบ้านโดยมีจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้าย พยานจึงวิทยุสั่งการให้เจ้าพนักงานตำรวจที่ล้อมบ้านเข้าตรวจค้นจับกุมพบเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวกับพบอาวุธปืน วิทยุสื่อสารและกระสุนปืนที่ตัวจำเลยที่ 2 โดยโจทก์มีสิบตำรวจตรีทักษิณและสิบตำรวจตรีชาตรีเบิกความสนับสนุน ส่วนจำเลยที่ 2 อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 2.15 นาฬิกา พยานขับรถจักรยานยนต์จากอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เพื่อกลับบ้านที่อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อมาถึงหน้าวัดพระแท่นศิลาอาสน์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ยางล้อหน้ารั่ว ครั้นมาถึงหน้าบ้านของจำเลยที่ 1 เห็นเปิดไฟสลัว ๆ จึงโทรศัพท์ถึงจำเลยที่ 1 ขออาศัยนอนค้างคืน แต่จำเลยที่ 1 กลับชวนไปรับประทานอาหารโดยขับรถจักรยานยนต์ไป ส่วนจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายจากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถไปทางอำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย เมื่อถึงบริเวณสามแยกก่อนถึงอำเภอศรีนคร จำเลยที่ 1 บอกให้จำเลยที่ 2 ลงไปคอยที่ศาลาข้างทางประมาณ 2 ชั่วโมง จำเลยที่ 1 ก็ขับรถจักรยานยนต์มารับจำเลยที่ 2 กลับบ้านของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่ามีเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่ เห็นว่าแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1มาสืบให้ศาลเห็นก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 มาพบจำเลยที่ 1 ที่บ้านในเวลา 2 นาฬิกา ซึ่งเป็นยามวิกาลและออกจากบ้านไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ร่วมรู้เห็นในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ด้วย เพราะหากจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ซึ่งจะไปซื้อเมทแอมเฟตามีนมาเพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ย่อมจะต้องกระทำอย่างลับ ๆ เพื่อปกปิดไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ การที่จำเลยที่ 1 ชักชวนให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจร่วมไปด้วย พฤติการณ์แห่งคดีจึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share