คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายนอกจากจะต้องเข้า หลักเกณฑ์ตามที่ ป.ที่ดิน มาตรา 58 ทวิ และมาตรา 59 แล้วยังจะต้องเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติด้วย เมื่อปรากฏว่าโจทก์เข้าจับจองครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากประกาศใช้ ป.ที่ดินพ.ศ. 2497 แม้จะอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 58 ทวิ (2) แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ยังไม่ได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น การเฉพาะรายตามระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2525) ข้อ 9ที่ดินพิพาทจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออก หนังสือรับรองประโยชน์ให้ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ 28 ไร่โดยเข้าไปจับจองทำประโยชน์ปลูกยางพาราเต็มเนื้อที่ ตั้งแต่พ.ศ. 2507 และเสียภาษีบำรุงท้องที่ตั้งแต่ พ.ศ. 2509 เมื่อพ.ศ. 2520 โจทก์ได้แจ้งความประสงค์จะได้สิทธิในที่ดินเพื่อขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะราย ต่อมาจำเลยซึ่งเป็นนายอำเภอ มีอำนาจหน้าที่ในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ได้รายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเท็จว่าโจทก์บุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยผิดกฎหมายเป็นเหตุให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ออกจากที่ดิน โจทก์ได้มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงและมีหนังสือถึงจำเลยเพื่อขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้เป็นการเฉพาะราย แต่จำเลยไม่ออกหนังสือให้โดยให้เหตุผลว่าที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งไม่ถูกต้อง เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้บังคับจำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ให้โจทก์ หากขัดขืนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามที่โจทก์อ้างเป็นที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เข้าถือครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย จึงไม่มีสิทธิใด ๆ จำเลยไม่เคยรายงานเท็จต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา แต่ได้ตักเตือนให้โจทก์ออกจากที่ดินเพื่อมิให้ต้องถูกดำเนินคดีอาญา จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบเพื่อรักษาที่ดินของรัฐ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบมาได้ความต้องกันว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่า โจทก์เข้าไปจับจองครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2507 หลังจากที่ประมวลกฎหมายที่ดินมีผลใช้บังคับแล้ว โจทก์เคยยื่นเรื่องราวขอมีสิทธิในที่ดินต่อทางราชการ แต่ทางราชการยังไม่ดำเนินการให้ ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้มีหนังสือให้โจทก์ออกจากที่พิพาท คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จะขอให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินที่พิพาทให้โจทก์เฉพาะรายตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ(3)และมาตรา 59 ได้หรือไม่
พิเคราะห์แล้ว กรณีของโจทก์นั้นเป็นเรื่องอ้างว่าเป็นการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะราย ซึ่งในเรื่องนี้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมาขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายไม่ว่าจะได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามมาตรา 58 แล้วหรือไม่ก็ตาม เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควรให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วแต่กรณีได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด…”มาตรา 58 ทวิ วรรคสอง บัญญัติว่า “บุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามวรรคหนึ่งให้ได้คือ…
(3) ผู้ซึ่งครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ในที่ดิน ภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ และไม่มีใบจอง ในเหยียบย่ำ หรือไม่มีหลักฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ”
วรรคสี่บัญญัติว่า “สำหรับบุคคลตามวรรคสอง (2) และ (3) ให้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วแต่กรณีได้ไม่เกินห้าสิบไร่ ถ้าเกินห้าสิบไร่ จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะราย ทั้งนี้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด”ตามบทกฎหมายดังกล่าวนอกจากจะเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติมาตราต่าง ๆ แล้ว การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายจะต้องเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนดด้วย ซึ่งระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2515) หมวด 4 การขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายโดยมิได้แจ้งการครอบครอง กำหนดไว้ในข้อ 9 ว่า “การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ผู้ครอบครองและการทำประโยชน์ในที่ดินเฉพาะรายโดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดินตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขดังนี้…
(2) ความจำเป็นในกรณีที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ได้คือ…
(ค) ในกรณีที่มีความจำเป็นอย่างอื่น แต่ต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะราย”
ที่ดินที่พิพาทนั้นโจทก์เข้าจับจองครอบครองหลังจากที่ประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว จึงเป็นที่ดินที่ไม่อาจจะแจ้งการครอบครองได้ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 ถึงแม้จะอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 58 ทวิ(3) ก็ตามแต่ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาไม่ได้ความว่าโจทก์ได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นการเฉพาะรายกลับได้ความว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้มีหนังสือให้โจทก์ออกจากที่พิพาทอันเป็นข้อแสดงให้เห็นว่าไม่มีการอนุมัติให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายสำหรับที่ดินพิพาท ดังนั้น ที่ดินที่พิพาทจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนดไว้ในอันที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่เพราะอย่างไรเสียก็ไม่อาจจะบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share