แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินตามเช็ค จำเลยที่ 3 ให้การรับว่าได้ออกเช็คพิพาทจริง เพียงแต่อ้างว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อประกันการชำระหนี้ ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีภาระการพิสูจน์และส่งอ้างเช็คพิพาทเป็นพยานหลักฐาน เพราะรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยที่ 3 แล้ว จึงไม่มีกรณีต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ที่ห้ามรับฟังตราสารที่ไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ 1 โดยลงลายมือชื่อประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คจำนวน 15 ฉบับ สั่งจ่ายฉบับละ 30,000 บาทโดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ให้แก่ผู้มีชื่อและผู้มีชื่อนำไปชำระหนี้โจทก์ ครั้นเช็คทั้ง 15 ฉบับถึงกำหนด โจทก์นำเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 477,103 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 450,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างแล้ว จำเลยที่ 2 ได้ปิดบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขานนทบุรี และขอเปิดบัญชีกระแสรายวันส่วนตัวของจำเลยที่ 2 เอง ซึ่งธนาคารขอให้ใช้บัญชีของจำเลยที่ 1เป็นบัญชีส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ต่อไป และจำเลยที่ 2 ยอมให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายแทนจำเลยที่ 2 ได้ด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ร่วมเล่นแชร์ซึ่งมีนายอนันต์เป็นหัวหน้าวงโดยลูกวงทุกคนชำระเงินค่าแชร์งวดแรกให้แก่หัวหน้าวง และออกเช็คสั่งจ่ายเงินค่าหุ้นแชร์ที่แต่ละคนถือแต่ละงวดจนครบจำนวนงวดให้แก่หัวหน้าวงถือไว้เป็นประกัน ต่อมามีการเลิกเล่นแชร์จำเลยที่ 2 ที่ 3 ติดตามเรียกเอาเช็คพิพาทที่ออกให้แก่นายอนันต์ไว้คืน แต่ไม่พบ นายอนันต์จึงได้แจ้งอายัดเช็คพิพาทไว้ต่อธนาคารเช็คพิพาทเป็นเช็คที่ออกเพื่อประกันการชำระหนี้ โจทก์คบคิดกับนายอนันต์ผู้ยึดถือเช็คพิพาทและสลักหลังเช็คพิพาทเพื่อฉ้อฉลจำเลย จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 477,103 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 450,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ว่าเช็คพิพาทไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ เพราะมิได้ปิดอากรแสตมป์นั้นแม้จำเลยที่ 3 มิได้ให้การและมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ไว้ก็ตามแต่ก็เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 3จึงมีสิทธิฎีกาได้ เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 3 ให้การรับว่าได้ออกเช็คพิพาทจริง เพียงแต่อ้างว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อประกันการชำระหนี้ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีภาระการพิสูจน์และส่งอ้างเช็คพิพาทเป็นพยานหลักฐาน เพราะรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยที่ 3ว่ามีการออกเช็คพิพาทกันจริง จึงไม่มีกรณีต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ที่ห้ามรับฟังตราสารที่ไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง ฎีกาจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์แต่มิได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับจำเลยทั้งสองและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งและกรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์