แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ปลอมใบมอบอำนาจของโจทก์โอนขายที่ดินของโจทก์แก่จำเลยที่ 2 ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1ผู้ร้องสอด (จำเลยที่ 1)ยื่นคำร้องอ้างว่า หนังสือมอบอำนาจเป็นหนังสืออันแท้จริงและผู้ร้องสอดได้ชำระเงินค่าที่ดินให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้จึงจำเป็นที่ผู้ร้องสอดจะต้องร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ตามสัญญาจะซื้อขายที่ได้ทำไว้กับโจทก์ดังนี้ผู้ร้องสอดย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามเพื่อต่อสู้คดีกับโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1) ได้ ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามเพื่อต่อสู้คดีกับโจทก์ เป็นการเข้ามาในฐานะเป็นจำเลยย่อมไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาล
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 15222 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์ว่าจะทำเรื่องขายที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2โจทก์หลงเชื่อได้มอบโฉนดให้จำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ทำหนังสือมอบอำนาจปลอมว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ขายที่ดินแก่จำเลยที่ 2 พนักงานเจ้าหน้าที่หลงเชื่อจึงแก้ทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่จำเลยที่ 2 ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าว
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1
นายเหม มณีจักร ยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดี ชั้นแรกศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) แต่กลับเพิกถอนคำสั่งเดิมแล้วแก้ไขคำสั่งใหม่เป็นให้เข้ามาเป็นคู่ความตามมาตรา 57(2) ผู้ร้องสอดอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอ้างว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ผู้ร้องสอดอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของผู้ร้องสอดไว้ดำเนินการต่อไป
ในระหว่างที่ผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวอยู่ ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการสืบพยานต่อไป โดยถือว่าผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 15222
จำเลยร่วมและจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นให้นายเหม มณีจักร ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) และพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าหนังสือมอบอำนาจเป็นหนังสืออันแท้จริงที่โจทก์มอบอำนาจให้ผู้ร้องสอดไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และผู้ร้องสอดได้ชำระเงินค่าที่ดินพิพาทให้โจทก์รับไว้ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์กลับมาฟ้องคดีอ้างว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจปลอม และไม่เคยได้รับเงินค่าที่ดินพิพาทเลยเช่นนี้ เป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องสอดโดยตรง เพราะหากโจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องสอดไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทได้จริง ผู้ร้องสอดก็ย่อมมีอำนาจที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามหนัสือมอบอำนาจนั้นได้ เพื่อที่จะให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่มีอยู่ผู้ร้องสอดจึงมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามเพื่อต่อสู้คดีกับโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ได้ และผู้ร้องสอดไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพราะเข้ามาในฐานะเป็นจำเลย
พิพากษายืน