คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2918/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบสินค้าให้แก่จำเลยไป และในวันนั้นเอง จำเลยออกเช็คให้แก่ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าที่หลอกลวงไปนั้น เห็นได้ว่าการเขียนเช็คมอบให้แก่ผู้เสียหายได้กระทำในเวลาต่อเนื่องใกล้ชิดกับเวลาที่รับสินค้าไปจากผู้เสียหาย โดยมีเจตนาอย่างเดียวคือให้ได้สินค้าตามที่ต้องการจากผู้เสียหาย การออกเช็คเป็นเพียงการกระทำส่วนหนึ่งของการหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าจากผู้เสียหายเท่านั้นการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงและเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค แต่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงโดยกล่าวข้อความอันเป็นเท็จแก่ผู้เสียหายว่า จำเลยมีอาชีพค้าขาย ประสงค์จะซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพื่อนำไปขาย ขอให้ผู้เสียหายนำเสื้อผ้าสำเร็จรูปมามอบให้จำเลยกับพวกก่อนแล้วจำเลยกับพวกจะชำระราคาภายหลัง ซึ่งเป็นความเท็จ ผู้เสียหายหลงเชื่อได้ส่งมอบเสื้อผ้าสำเร็จรูปให้แก่จำเลยกับพวกและในวันเดียวกันจำเลยกับพวกร่วมกันออกเช็คให้แก่ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าที่หลอกลวงไปนั้น แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งนี้จำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค มาตรา 3 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค มาตรา 3การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย

โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด 2 กรรม ขอให้เรียงกระทงลงโทษ

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เช็คที่จำเลยออกให้ผู้เสียหายไม่มีมูลหนี้ เพราะจำเลยไม่มีเจตนาทำสัญญาซื้อขายกับผู้เสียหายจริง ๆ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พิพากษาแก้ว่าให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค มาตรา 3นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามฟ้องและเรียงกระทงลงโทษทุกกรรม

ศาลฎีกาวินิจฉัยวา คำฟ้องตอนแรกบรรยายการกระทำความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และคำฟ้องตอนหลังบรรยายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ซึ่งการบรรยายฟ้องตอนท้ายกล่าวชัดว่า เช็คที่จำเลยออกให้ก็เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าที่หลอกลวงไปจากผู้เสียหายการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 อีกด้วยและเมื่อพิเคราะห์คำฟ้องตอนแรกและตอนท้ายประกอบกันแล้ว เห็นว่าที่จำเลยเขียนเช็คมอบให้แก่ผู้เสียหายย่อมกระทำในเวลาต่อเนื่องใกล้ชิดกับเวลาที่รับสินค้าไปจากผู้เสียหาย โดยมีเจตนาอย่างเดียวคือให้ได้สินค้าตามที่ต้องการจากผู้เสียหายการออกเช็คเป็นเพียงการกระทำส่วนหนึ่งของการหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าจากผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท สมควรที่จำเลยจะต้องได้รับโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนัดที่สุดเพียงบทเดียวดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คมาตรา 3 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้บังคับคดีลงโทษจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ

Share