คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2918/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานขับรถผ่านทางแยกโดยใช้อัตราความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ข้อหาอื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษาปรับบทลงโทษที่ศาลชั้นต้นมิได้ระบุมาตราว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบกพุทธศักราช 2477 มาตรา 29(4) ส่วนข้อหาจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสนั้น เป็นอุทธรณ์ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส จึงเป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้ฟังมา ซึ่งมิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับนายสุเทพที่หลบหนีไปต่างขับรถยนต์ด้วยความประมาทต่างขับรถฝ่าสัญญาณไฟแดงไป รถยนต์ทั้งสองคันชนกันที่สี่แยกนั้นเองเป็นเหตุให้ ล. ซึ่งนั่งมาบนรถที่นายสุเทพขับได้รับอันตรายสาหัส และรถยนต์ที่นายสุเทพขับได้เลยไปชนรถยนต์คันอื่นได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2477 มาตรา 29(4), 31, 66 พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 4)พุทธศักราช 2508 มาตรา 8 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 59 ข้อ 11

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานขับรถผ่านทางแยกโดยใช้อัตราความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ (20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)ปรับ 800 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ข้อหาอื่นให้ยก

โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2477 มาตรา 29(4) และผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 อีกด้วย

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พุทธศักราช 2477 มาตรา 29(4) ด้วยนั้นเห็นว่าเป็นกรณีเดียวกับที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาไว้ หากแต่ศาลชั้นต้นมิได้ระบุยกมาตราขึ้นปรับ สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าจำเลยขับรถฝ่าฝืนไฟแดงก็ดีหรือจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ก็ดี เป็นอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ ตามที่แก้ไขเพิ่มเติม ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ไม่ได้ พิพากษาแก้เป็นปรับบทลงโทษนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาว่า เมื่อจำเลยมีความผิดฐานขับรถประมาทตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 29(4) และ (การกระทำนั้น) เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส จำเลยต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300ด้วย อ้างว่าเป็นข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาเห็นว่าศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานขับรถผ่านทางแยกโดยใช้อัตราความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (20กิโลเมตรต่อชั่วโมง)ข้อหาอื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาปรับบทลงโทษที่ศาลชั้นต้นมิได้ระบุมาตราว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพุทธศักราช 2477 มาตรา 29(4) ส่วนข้อหาจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสนั้น เป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2417 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส จึงเป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังมา ซึ่งมิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

จึงให้ยกฎีกาของโจทก์

Share