แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ในคดีนี้ได้เป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องสอดคดีนี้ และสามีเป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอให้ขับไล่ออกจากบ้าน และส่งมอบทรัพย์มรดกของ ม. แก่โจทก์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวที่วินิจฉัยว่าม. ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งสิ้นให้แก่จำเลยที่ 1 คดีนั้นแต่ผู้เดียวเป็นข้อเท็จจริงที่ยังรับฟังเป็นยุติไม่ได้ เพราะคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดโดยโจทก์ได้ยื่นฎีกา จึงไม่ผูกมัดให้ศาลอุทธรณ์จำต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นนั้นในคดีนี้ด้วย
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และยกคำร้องของผู้ร้องสอดศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ผู้ร้องสอดมีสิทธิรับเงินมรดกของนายมนัสที่จำเลยวางศาลไว้แล้ว โจทก์ทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีได้ความว่าโจทก์ทั้งห้าในคดีนี้ได้เป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องสอดคดีนี้เป็นจำเลยที่ 1 และฟ้องสามีผู้ร้องสอดคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลยออกจากบ้าน และให้จำเลยส่งมอบทรัพย์มรดกของนายมนัสแก่โจทก์ตามสำนวนของศาลแพ่งคดีหมายเลขดำที่ 10345/2520 คดีหมายเลขแดงที่ 8822/2522 ในคดีดังกล่าวอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขดำที่ 2822/2522 คดีหมายเลขแดงที่ 282/2523 ของศาลอุทธรณ์โดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายมนัสได้ทำพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน2514 ยกทรัพย์มรดกทั้งสิ้นให้แก่จำเลยที่ 1 คดีนั้นแต่ผู้เดียว และพิพากษายกฟ้อง คดีมีปัญหาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวผูกมัดให้ศาลอุทธรณ์จำต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นนั้นในคดีนี้ด้วยหรือไม่
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ปรากฏศาลอุทธรณ์ได้สั่งไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 13 มีนาคม 2523 ในคดีนี้ว่า ให้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีนี้ภายหลังที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 10345/2520 คดีหมายเลขแดงที่ 8822/2522 ของศาลแพ่งให้คู่ความฟังแล้วแสดงว่าอุทธรณ์ได้ทำคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวเสร็จพร้อมกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีนี้ เป็นแต่ให้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวก่อนแล้วจึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีนี้เท่านั้น นอกจากนี้ยังปรากฏตามฎีกาของโจทก์ทั้งห้าว่า โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวได้ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวต่อศาลฎีกาไว้แล้ว จึงเห็นได้ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวที่วินิจฉัยว่านายมนัสได้ทำพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 19 มิถุนายน 2518 ยกทรัพย์มรดกทั้งสิ้นให้แก่จำเลยที่ 1 คดีนั้นแต่ผู้เดียวนั้นเป็นข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติไม่ได้ เพราะคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวจึงไม่ผูกมัดให้ศาลอุทธรณ์จำต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นนั้นในคดีนี้ด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นนั้นในคดีนี้ด้วยโดย มิได้พิจารณาหลักฐานที่คู่ความนำสืบกันในคดีนี้เลยเช่นนี้ ย่อมเป็นการไม่ต้องด้วยกระบวนพิจารณา ฎีกาโจทก์ทั้งห้าในข้อนี้ฟังขึ้น แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฎีกาให้เสร็จไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่”
พิพากษายืน