คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2912/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันฉ้อโกงเอาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ไป โดยหลอกว่ามีเงินฝากในธนาคารมากซึ่งไม่เป็นความจริง การแสดงเจตนาขายทรัพย์พิพาทของโจทก์จึงเกิดขึ้นเพราะกลฉ้อฉล นิติกรรมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นโมฆียะ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนเสีย เป็นการบอกล้างโมฆียะกรรม นิติกรรมจึงตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก จำเลยที่ 2 ได้ทรัพย์พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้ทรัพย์พิพาทมาด้วยการฉ้อโกงโจทก์เป็นการได้มาโดยไม่สุจริต จะอ้างสิทธิยันโจทก์ไม่ได้นิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีผลตามกฎหมาย

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกจากโฉนด แล้วลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของตามเดิม ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 คืนโฉนด ถ้าจำเลยไม่ยอมถอนชื่อจากโฉนด ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฉ้อโกงเอาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ไป กับจำเลยที่ 2 รับโอนทรัพย์พิพาทดังกล่าวไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 ได้มาด้วยการฉ้อโกง และนิติกรรมการซื้อขายทรัพย์พิพาทเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 ไม่สมบูรณ์ตกเป็นโมฆะไม่มีผลตามกฎหมายหรือไม่ โจทก์มีเช็คเอกสารหมาย จ. 1 ใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.2 หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ.10 หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เอกสารหมาย จ.11 เป็นพยานหลักฐานแสดงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์ และตัวโจทก์ยังยืนยันว่าตอนจำเลยทั้งสองมาติดต่อขอซื้อที่ดินพิพาทนั้นจำเลยพูดอวดอ้างว่ามีเงินในธนาคารเป็นจำนวนมาก จำเลยมาติดต่อกับโจทก์หลายครั้งจนโจทก์ยอมตกลงขาย เพราะจำเลยอ้างว่าจำเลยมีเงินในธนาคารหลายสิบล้านบาทและจะชำระราคาที่ดินทั้งหมดในครั้งเดียว ปรากฏตามเช็คเอกสารหมาย จ.1 ว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตกลงซื้อขายกันราคา 6,500,000 บาท แต่ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.10 จ.11 กลับเป็นว่าซื้อขายกันเพียง 3,500,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาซื้อขายถึง 3,000,000 บาท เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาซื้อทรัพย์พิพาทและชำระราคาให้โจทก์โดยแท้จริง และน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 รู้เห็นกับการกระทำของจำเลยที่ 1 ด้วย ดังจะเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองไปติดต่อกับโจทก์ด้วยกันช่วยกันพูดอวดอ้างว่าจำเลยมีเงินในธนาคาร หลายสิบล้านบาท และจะชำระราคาที่ดินทั้งหมดให้โจทก์ในครั้งเดียวจนโจทก์หลงเชื่อ เช่นนี้ พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 เป็นพิรุธแสดงว่าร่วมกันกับจำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์ พยานโจทก์มั่นคง คดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฉ้อโกงเอาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ไป และจำเลยที่ 2 รับโอนทรัพย์พิพาทดังกล่าวไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 ได้มาด้วยการฉ้อโกง การแสดงเจตนาขายทรัพย์พิพาทของโจทก์เกิดขึ้นเพราะกลฉ้อฉล นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆียะ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนเสียเป็นการบอกล้างโมฆียะกรรม นิติกรรมดังกล่าวตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก จำเลยที่ 2 ได้ทรัพย์พิพาทมาจากจำเลยที่ 1 โดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้ทรัพย์พิพาทมาด้วยการฉ้อโกงโจทก์เป็นการได้มาโดยไม่สุจริตจะอ้างสิทธิยันโจทก์ไม่ได้ นิติกรรมซื้อขายทรัพย์พิพาทเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 ไม่มีผลตามกฎหมาย”

พิพากษายืน

Share