คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 291/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันครบกำหนดอุทธรณ์ ว. บุตรของจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยมรณะแล้ว และ ว. ยื่นคำร้องขอให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์อีก 20 วัน นับแต่วันดังกล่าวเมื่อขณะที่ ว. ยื่นคำร้องขอเพื่อเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยในขณะที่คดียังไม่พ้นเวลาที่จำเลยจะยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ประกอบกับเป็นคดีที่ยังสามารถอุทธรณ์ต่อไปได้ คดีจึงไม่เป็นที่สุด และยังค้างพิจารณาอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ ว. จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความ แทนที่จำเลยผู้มรณะได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 42 วรรคหนึ่ง กรณีเช่นว่านี้เมื่อศาลชั้นต้น รับคำร้องดังกล่าว ศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวนคำร้องขอเข้าเป็น คู่ความแทน และมีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 และ 43 เสียก่อน มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของ ว. การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ไปก่อน มีคำสั่งอนุญาตให้ ว. เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 92 และเพิงไม่มีเลขที่อีก 1 หลัง ออกไปจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกไปจากที่ดินของโจทก์
ระหว่างอุทธรณ์ จำเลยถึงแก่กรรม นางวัฒนา เทียนบางทายาทของจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังวันที่ 3 สิงหาคม 2537 ครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ในวันที่3 กันยายน 2537 ในวันที่ 3 กันยายน 2537 เป็นวันเสาร์หยุดราชการจำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 5 กันยายน 2537 ซึ่งเป็นวันเริ่มทำการได้ ในวันดังกล่าวนางวัฒนา เทียนบาง ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้มรณะเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2537นางวัฒนา เป็นบุตรของจำเลยไม่ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีพอที่จะยื่นอุทธรณ์ ขอให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์อีก 20 วันนับแต่วันดังกล่าว นางวัฒนายื่นคำร้องขอเพื่อเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยในขณะที่คดียังไม่พ้นเวลาที่จำเลยจะยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ประกอบกับคดียังสามารถอุทธรณ์ต่อไปได้คดีจึงไม่เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 147 วรรคสอง ถือได้ว่าเป็นคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลระหว่างอุทธรณ์ นางวัฒนามีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 42 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นรับคำร้องดังกล่าว ศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวนคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยและมีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 42 และ 43 เสียก่อนที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 5 กันยายน2537 อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ไป 10 วัน ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตให้นางวัฒนาเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2537 จึงไม่ชอบแต่ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2537 อนุญาตให้นางวัฒนาเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยแล้วอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์ภายใน 20 วันตามที่ทนายจำเลยแถลงชอบแล้ว ต่อมาวันที่ 12 ตุลาคม 2537จำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นจึงเป็นการยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลอนุญาตแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยเพราะจำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share