คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2904/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ทนายความที่ขาดต่อใบอนุญาตย่อมขาดจากการเป็นทนายความไม่มีอำนาจลงชื่อเป็นผู้เรียงและพิมพ์คำคู่ความที่ยื่นต่อศาลตลอดจนดำเนินคดีในศาล ถ้าฝ่าฝืนย่อมไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67(5) หาใช่กรณีเป็นข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถหรือบกพร่องเกี่ยวกับการเขียนคำคู่ความ ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งให้แก้ไขหรือมีคำสั่งในเรื่องที่ผิดระเบียบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

ย่อยาว

คดีสองสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 3 โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า จำเลยที่ 1เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด กรมการขนส่งทางบก จำเลยที่ 2เป็นนิติบุคคลในสังกัดกระทรวงคมนาคม โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน10-0168 หนองคาย โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 10-0169 หนองคายโจทก์ที่ 3 เป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 10-1020 อุดรธานี โจทก์ทั้งสามได้นำรถยนต์ทั้งสามคันเข้าร่วมเดินรถกับจำเลยที่ 1 ต่อมาเมื่อวันที่5 มิถุนายน 2530 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นหนังสือต่อจำเลยที่ 2 ขอถอนรถยนต์ของโจทก์ทั้งสามดังกล่าวออกจากบัญชีควบคุมการเดินรถ (ขส.บ11)และแจ้งเลิกใช้รถทั้งสามคัน ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิกระทำการดังกล่าว เพราะไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และโจทก์ทั้งสามมิได้กระทำผิดใด ๆ จำเลยที่ 2 ได้กระทำการอันมิชอบโดยออกคำสั่งอนุมัติให้ถอนรถยนต์ของโจทก์ทั้งสามออกจากบัญชีควบคุมการเดินรถ(ขส.บ.11) ในเส้นทางหมวดที่ 3 สาย 223 และอนุมัติให้เลิกใช้รถยนต์ทั้งสามคันตามคำขอของจำเลยที่ 1 โดยมิได้ตรวจสอบความถูกต้องแต่ประการใด การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 212,000 บาท โจทก์ที่ 3เป็นเงิน 135,000 บาท และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2วันละ 2,000 บาท โจทก์ที่ 3 วันละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะหยุดการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยที่ 1รับรถยนต์ของโจทก์ทั้งสามเข้าร่วมเดินรถกับจำเลยที่ 1 ในเส้นทางหมวดที่ 3 สาย 223 ระหว่างอุดรธานี-ศรีเชียงใหม่ เช่นเดิมให้จำเลยที่ 2 เพิกถอนคำสั่งที่อนุมัติให้ถอนรถยนต์ของโจทก์ทั้งสามออกจากบัญชีควบคุมการเดินรถ (ขส.บ.11) เส้นทางหมวดที่ 3 สาย 223และให้จำเลยที่ 2 เพิกถอนคำสั่งที่อนุมัติให้เลิกใช้รถยนต์ของโจทก์ทั้งสาม และบรรจุรถของโจทก์ทั้งสามเข้าบัญชีควบคุมการเดินรถ(ขส.บ.11) ตามเดิม
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ทั้งสามไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียนตามฟ้อง แต่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ที่โจทก์ทั้งสามอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1โจทก์ทั้งสามก็ยังไม่ชำระค่าหุ้น โจทก์เพียงแต่เคยนำรถเข้าวิ่งกับจำเลยที่ 1 การที่รถยนต์ของโจทก์ทั้งสามดังกล่าวถูกเพิกถอนออกจากบัญชีควบคุมการเดินรถ (ขส.บ.11) เนื่องจากโจทก์ทั้งสามไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎและระเบียบของจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับของกรมการขนส่งทางบกแล้วค่าเสียหายไม่ถึงจำนวนที่ฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 กระทำตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ด้วยความสุจริต ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามแต่อย่างใด โจทก์ทั้งสามไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 10-0168 หนองคาย10-0169 หนองคาย และ 10-1020 อุดรธานี ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ที่โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้างว่ามีรายได้จากการเก็บค่าโดยสารคันละ 1,000 บาท ต่อวันนั้นมากเกินความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องว่าใบอนุญาตว่าความของทนายจำเลยที่ 1 หมดอายุตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม2528 แล้ว ดังนั้นคำให้การจำเลยที่ 1 และกระบวนพิจารณาที่ทนายจำเลยที่ 1 ได้กระทำหลังจากวันดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่ทนายความของจำเลยที่ 1 ขาดต่อใบอนุญาตให้เป็นทนายความมาว่าความและดำเนินคดีในศาลเป็นการผิดระเบียบ แต่สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ และปรากฏว่าทนายจำเลยที่ 1ได้ต่อใบอนุญาตว่าความเรียบร้อยแล้ว ถือว่าเป็นการแก้ไขข้อผิดระเบียบดังกล่าว จึงมีคำสั่งว่ากระบวนพิจารณาที่ทนายความของจำเลยที่ 1 กระทำมาแล้วมีผลใช้ได้ ให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 รวม 212,000 บาท ชำระแก่โจทก์ที่ 3เป็นเงิน 135,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1,000 บาท ต่อวัน นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยที่ 1 จะรับรถยนต์ของโจทก์ทั้งสามเข้าร่วมเดินกับรถของจำเลยที่ 1 เช่นเดิม ให้จำเลยที่ 2 เพิกถอนคำสั่งที่อนุมัติให้ถอนรถยนต์ของโจทก์ทั้งสามออกจากบัญชีควบคุมการเดินรถ (ขส.บ.11)เส้นทางหมวดที่ 3 สาย 223 และให้จำเลยที่ 2 เพิกถอนคำสั่งที่อนุมัติให้เลิกใช้รถยนต์ของโจทก์ทั้งสามและบรรจุรถของโจทก์ทั้งสามเข้าขส.บ.11 ตามเดิม
โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหา ข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า การที่นายนิตินัย นาครทรรพ ซึ่งขาดต่ออายุใบอนุญาตมารับว่าความและดำเนินคดีในฐานะทนายความของจำเลยที่ 1และต่อมาได้ขอต่อใบอนุญาตเรียบร้อยแล้วเป็นการชอบหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2530 จำเลยที่ 1ได้แต่งตั้งให้นายนิตินัยเป็นทนายความ นายนิตินัยได้เรียงคำให้การและยื่นต่อศาลในวันเดียวกันแทนจำเลยที่ 1 และดำเนินคดีให้จำเลยที่ 1 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาวันที่ 23 กันยายน 2531โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องว่า นายนิตินัยขาดต่อใบอนุญาตเป็นทนายความตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2528 จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1 ได้ วันที่ 11 ตุลาคม 2531 นายนิตินัยนำใบรับคำขอต่อใบอนุญาตเป็นทนายความไปแสดงต่อศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 33 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนและรับใบอนุญาต หรือผู้ที่ขาดจากการเป็นทนายความหรือต้องห้ามทำการเป็นทนายความว่าความในศาล หรือแต่งฟ้อง คำให้การฟ้องอุทธรณ์ แก้อุทธรณ์ ฟ้องฎีกา แก้ฎีกา คำร้อง หรือคำแถลงอันเกี่ยวแก่การพิจารณาคดีในศาลให้แก่บุคคลอื่น ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้กระทำในฐานะเป็นข้าราชการผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่ หรือเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ องค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่ หรือมีอำนาจหน้าที่กระทำได้โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความหรือกฎหมายอื่น” เมื่อนายนิตินัยขาดต่อใบอนุญาตเป็นทนายความ นายนิตินัยจึงเป็นผู้ที่ขาดจากการเป็นทนายความตามมาตรา 44(3) การที่นายนิตินัยลงชื่อเป็นผู้เรียงและพิมพ์คำให้การของจำเลยที่ 1 ยื่นต่อศาล ตลอดจนดำเนินคดีในศาลก่อนที่จะทำคำขอต่อใบอนุญาตจึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเมื่อนายนิตินัยไม่มีอำนาจที่จะยื่นคำให้การแทนจำเลยที่ 1 ได้ คำให้การของจำเลยที่ 1 จึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67(5)และกรณีไม่ใช่เป็นข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถหรือบกพร่องเกี่ยวด้วยเรื่องการเขียนคำคู่ความ ซึ่งศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้แก้ไขหรือมีคำสั่งในเรื่องที่ผิดระเบียบนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ดังนั้น คำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่าการที่นายนิตินัยซึ่งขาดต่ออายุใบอนุญาตมาว่าความและดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1 และต่อมาก็ได้ต่อใบอนุญาตเป็นผลทำให้กระบวนพิจารณาผิดระเบียบซึ่งนายนิตินัยทำมาแต่ต้นเป็นอันใช้ได้นั้นเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณากระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2530 เป็นต้นมา และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า กรณีไม่ใช่นายนิตินัยจงใจดำเนินกระบวนพิจารณาโดยรู้อยู่ว่าใบอนุญาตเป็นทนายความหมดอายุกระบวนพิจารณาที่นายนิตินัยได้กระทำไปจึงมีผล ศาลรับฟังคำให้การและคำพยานของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้ได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังขึ้น และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ทั้งสามและฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตลอดจนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่รับคำให้การจำเลยที่ 1 และกระบวนพิจารณาในส่วนของจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นเป็นต้นมา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share