คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2902/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินกล่าวว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 2645 ย่อมมีความหมายว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองที่ดินทั้งโฉนด ไม่จำต้องระบุเนื้อที่ดินความกว้างยาว อาณาเขต หรือแนบสำเนาโฉนดมา และที่กล่าวว่าได้ครอบครองเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว ก็มีความหมายว่าได้ครอบครองติดต่อกันมาจนถึงวันยื่นคำร้องขอเกินกว่าสิบปี เป็นการเริ่มครอบครองเมื่อก่อนสิบปี เป็นคำร้องขอที่ชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 แล้วไม่เคลือบคลุม ตามคำร้องขอกล่าวว่าผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งรับรองกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองอันเป็นการจะต้องใช้สิทธิทางศาล ผู้ร้องทั้งสองหาได้กล่าวว่ามีบุคคลใดโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ร้องทั้งสองอันจะต้องทำเป็นคำฟ้องบุคคลผู้โต้แย้งสิทธิไม่ผู้ร้องทำเป็นคำร้องขอชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 188 แล้ว ที่ดินพิพาทมีการจดทะเบียนเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตลอดมาเกือบทุกปีนับแต่ที่ฝ่ายผู้ร้องอ้างว่าได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทการอ้างว่าได้เข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจึงถูกกระทบสิทธิมาตลอด ไม่ถือว่าเป็นการครอบครองโดยความสงบด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาสิบปีตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1382 การครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากผู้คัดค้านจดทะเบียนรับโอนมาจนถึงวันยื่นคำร้องขอก็ยังไม่ครบสิบปี แม้จะฟังว่าฝ่ายผู้ร้องได้ครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทมาโดยตลอด ผู้ร้องทั้งสองก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์.

ย่อยาว

ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองโฉนดเลขที่ 2645 ตำบลบางเพรียง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการขุดบ่อปลาและปลูกต้นไม้ริมบ่อ โดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เป็นเวลานานเกินกว่าสิบปีแล้ว ขอให้ศาลสั่งให้ผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าว
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องทั้งสองไม่เคยครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2645 ผู้คัดค้านรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้มาจากผู้อื่นโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ผู้คัดค้านครอบครองตรวจตราที่ดินเป็นเวลาเจ็ดปี ไม่เคยมีผู้ใดโต้แย้ง คำร้องขอของผู้ร้องทั้งสองเคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายว่าครอบครองตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใดและครอบครองที่ดินส่วนไหน เนื้อที่เท่าไหร่ ผู้ร้องทั้งสองไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอเพราะไม่เคยบอกกล่าวผู้คัดค้านให้ไปทำการโอนผู้คัดค้านมีตัวตน มีที่อยู่แน่นอน ชอบที่จะทำเป็นคำฟ้อง มิใช่คำร้องขอ ขอให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอ
ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาแรกตามฎีกาของผู้คัดค้านมีว่าคำร้องขอของผู้ร้องทั้งสองเคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า ในคำร้องขอให้แสดงสิทธิครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาทนี้ ผู้ร้องทั้งสองได้กล่าวแล้วว่าผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 2645ตำบลบางเพรียง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ย่อมมีความหมายว่าผู้ร้องทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาททั้งโฉนด โดยไม่จำต้องระบุถึงเนื้อที่ดิน ความกว้างยาว หรืออาณาเขต หรือแนบสำเนาโฉนดมาในท้ายคำร้องขอดังที่ผู้คัดค้านฎีกา และที่ผู้ร้องทั้งสองกล่าวว่าได้ครอบครองเป็นเวลานานเกินกว่าสิบปีแล้วก็มีความหมายว่าผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันมาจนถึงวันยื่นคำร้องขอเกินกว่าสิบปีเป็นการเริ่มครอบครองเมื่อก่อนสิบปี เป็นคำร้องขอที่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว หาเคลือบคลุมดังที่ผู้คัดค้านฎีกาไม่
ปัญหาต่อไป คดีนี้ต้องยื่นเป็นคำร้องขอหรือคำฟ้องดังที่ผู้คัดค้านฎีกาเห็นว่า ตามคำร้องขอได้กล่าวว่าผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งรับรองกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองอันเป็นการจะต้องใช้สิทธิทางศาล ผู้ร้องทั้งสองหาได้กล่าวว่ามีบุคคลใดโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ร้องทั้งสองอันจะต้องทำเป็นคำฟ้องบุคคลผู้โต้แย้งสิทธิไม่ คดีนี้ทำเป็นคำร้องขอชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188 แล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาตามฎีกาของผู้คัดค้านข้อต่อไปมีว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วหรือไม่…พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ที่ผู้ร้องทั้งสองนำสืบว่าผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของนับแต่ได้รับการยกให้จากนายเจิมเมื่อปี 2509 ตลอดมา และเมื่อนับรวมจากที่นายเจิมครอบครองมาจนถึงขณะที่ผู้ร้องทั้งสองนำสืบในคดีนี้เมื่อปี 2530เป็นเวลาประมาณ 30 ปี นั้น ปรากฏจากสารบัญจดทะเบียนของโฉนดที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย ล.4 ว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนายปลั่งสุขแจ่ม ต่อมามีการจดทะเบียนโอนขายกันหลายทอด จนเมื่อปี 2504นายแดง แจ้งสว่าง ในฐานะเจ้าของที่ดินพิพาทได้จดทะเบียนจำนองที่ดินแปลงนี้แก่นายแผ้ว กันเปี่ยมแจ่ม ปี 2509 จึงได้ไถ่ถอนจำนองแล้วจดทะเบียนขายฝากแก่นายจรัญ ไมตรียานนท์ ในปีเดียวกันจนปี 2511 จึงจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝาก แล้วจดทะเบียนขายฝากให้แก่นางส้วน เจริญพงษ์นาวิน กับพวก อีกทีหนึ่งโดยมิได้ไถ่ถอนการขายฝาก ปี 2512 นางส้วนกับพวกได้จดทะเบียนโอนขายคืนให้แก่นายแดง ในปีเดียวกันนายแดงได้จดทะเบียนขายฝากแก่เรือโทเล็กเหลืองตระกูล โดยไม่มีการไถ่ถอนการขายฝากปี 2514 เรือโทเล็กได้จดทะเบียนขายให้แก่นายประชุม ธรรมสุวรรณ ปี 2519 นายประชุมได้จดทะเบียนแบ่งขายบางส่วนของที่ดินพิพาทให้แก่กรมทางหลวงเพื่อทำเป็นถนนสาธารณะ วันที่ 23 มีนาคม 2522 นายประชุมได้จดทะเบียนโอนขายส่วนที่เหลือให้แก่นายมนู แซ่โง้ว และวันที่ 6กันยายน 2522 นายมนูจึงได้จดทะเบียนโอนขายให้แก่ผู้คัดค้านอีกต่อหนึ่ง จะเห็นได้ว่าที่ดินพิพาทแปลงนี้มีการจดทะเบียนเกี่ยวสิทธิในที่ดินตลอดมาเกือบทุกปีนับแต่ที่ฝ่ายผู้ร้องอ้างว่าได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาท การอ้างว่าได้เข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจึงถูกกระทบสิทธิมาตลอด ไม่ถือว่าเป็นการครอบครองโดยความสงบด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาสิบปีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากผู้คัดค้านจดทะเบียนรับโอนมาจนถึงวันยื่นคำร้องก็ยังไม่ครบสิบปี แม้จะฟังว่าฝ่ายผู้ร้องได้ครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทมาโดยตลอดผู้ร้องทั้งสองก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง ฎีกาของผู้คัดค้านในข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองจึงไม่จำต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทั้งสองว่าผู้คัดค้านรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตหรือไม่ และผู้รับโอนคนก่อน ๆต่อจากผู้คัดค้านรับโอนมาโดยสุจริตหรือไม่ตามฎีกาของผู้คัดค้านในข้อต่อไป ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลของศาลล่างทั้งสองฎีกาของผู้ร้องทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share