แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐในคดีก่อนกับความผิดตามฟ้องคดีนี้ ระยะเวลาที่เกิดเหตุ สถานที่เกิดเหตุและการกระทำของจำเลยเป็นครั้งเดียวกัน แม้ฐานความผิดจะต่างกันก็เป็นความผิดกรรมเดียวกัน เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในการกระทำความผิดดังกล่าวจนศาลพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้อง ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) โจทก์มาฟ้องจำเลยอีก แม้จะอ้างบทลงโทษตาม พ.ร.บ. แร่ ก็เป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำเหมืองโดยใช้เครื่องมือทำการระเบิดและย่อยหินที่บริเวณที่ดินทำเลเลี้ยงสัตว์ อันเป็นที่ดินของรัฐซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน รวมเนื้อที่ประมาณ ๑๓๘ ไร่เศษ ซึ่งหิน ทุกชนิดเป็นแร่ชนิดหินประดับหรือแร่ชนิดอุตสาหกรรม ตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๗๗ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๓๙ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจำเลยได้ทราบแล้ว ทั้งนี้ โดยจำเลยมิได้รับประทานบัตรจากพนักงานเจ้าหน้าที่ อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๔, ๑๗, ๔๓, ๑๓๕
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๔๓, ๑๓๕ จำคุก ๑ ปี จำเลย ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องหรือรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในคดีก่อน (คดีหมายเลขแดงที่ ๑๑๒๐/๒๕๔๑ ของศาลจังหวัดสุรินทร์) โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินทำเลเลี้ยงสัตว์ป่าเสมาะเกรียน ป่าปะเลียน ป่าพวงตึก ตำบลประทัดบุ อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ อันเป็นที่ดินของรัฐซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เนื้อที่ ๑๓๘ ไร่ ๒๒ ตารางวา โดยเข้าไประเบิดย่อยหินในที่ดิน ดังกล่าว โดยมิได้มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาต กับข้อหาละเว้นไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่สั่งให้หยุดกระทำการระเบิดย่อยหินในที่ดินและออกไปจากที่ดินดังกล่าว จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษา ลงโทษจำเลยตามฟ้อง คดีถึงที่สุด ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาทำเหมืองโดยใช้เครื่องมือทำการระเบิดย่อยหิน โดยมิได้รับประทานบัตรจากกพนักงานเจ้าหน้าที่ เห็นว่า ความผิดฐานบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ ในคดีก่อนกับความผิดตามฟ้องคดีนี้ ระยะเวลาที่เกิดเหตุ สถานที่เกิดเหตุและการกระทำของจำเลยเป็นครั้งเดียวกัน แม้ฐานความผิดจะต่างกันก็เป็นความผิดกรรมเดียวกัน เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในการกระทำความผิดดังกล่าวจน ศาลพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา ๓๙ (๔) โจทก์มาฟ้องจำเลยอีกแม้จะอ้างบทลงโทษตามพระราชบัญญัติแร่ก็เป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามกฎหมาย
พิพากษายืน