คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 290/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ว่าที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกอยู่ติดกับบริเวณที่ดินที่ พ. ได้อุทิศแบ่งแยกไว้เป็นทางสาธารณะ แต่ที่ดินของพ. บริเวณดังกล่าวมีห้องแถวและสิ่งปลูกสร้างอื่นปลูกอยู่ก่อนแล้วไม่อาจใช้สัญจรออกไปสู่ทางสาธารณะได้ที่ดินบริเวณที่ พ. แบ่งไว้จึงเป็นที่ดินซึ่งประชาชนทั่วไป และโจทก์ไม่อาจใช้ประโยชน์ในการสัญจรหรือการจราจรได้จริง ที่ดินของโจทก์จึงถูกที่ดินแปลงอื่นปิดกั้นไม่อาจออกสู่ทางสาธารณะได้ตามสภาพที่เป็นจริง ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 โจทก์ย่อมมีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นที่พิพาทผ่านที่ดินของจำเลยไปออก สู่ทางสาธารณะที่ใช้สัญจรไปมาตามความเป็นจริงได้ ภายหลังแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่ดินมีโฉนด ออกมาเป็นโฉนดแปลงย่อยของโจทก์ของจำเลย และแปลงอื่น ๆ ทำให้ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้เลย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ถูกแบ่งแยกออกมามีสิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นจากที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันออกมา ไปสู่ทางสาธารณะได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีของนางศิริพงษ์ โจทก์และนางศิริพงษ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 13703ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราชที่ดินดังกล่าว มีบ้านเลขที่ 834 ปลูกอยู่ นางศิริพงษ์ ถึงแก่กรรมโจทก์ในฐานะทายาทเป็นผู้ปกครองทรัพย์มรดกของนางศิริพงษ์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 13702 อยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตก เดิมที่ดินของโจทก์และจำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกันโดยเป็นกรรมสิทธิ์รวมของบุคคลอื่นหลายคน ต่อมาที่ดินได้แบ่งแยกออกเป็นหลายแปลง และที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวตกมาเป็นของโจทก์ นางศิริพงษ์ และจำเลยเนื่องจากการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม ดังกล่าวเป็นเหตุให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 ของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ถนนหลังพลับพลาหรือศรีปราชญ์อันเป็นทางสาธารณะได้ จากที่ดินของโจทก์ หากจะออกสู่ทางสาธารณะดังกล่าวจะต้องเดินผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 13702 ของจำเลย ซึ่งเจ้าของที่ดินเดิมจนกระทั่งถึงโจทก์ก็ใช้เส้นทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยกว้าง 1.50 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยต่อมาเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2530 จำเลยได้ปักเสาซีเมนต์และขึงลวดหนามปิดกั้นทางดังกล่าวตรงบริเวณปากทางเข้าออกบ้านเลขที่ 834 โดยเจตนาจะขัดขวางการใช้ทางของโจทก์และบริวารขอให้บังคับจำเลยเปิดทางพิพาทกว้าง 1.50 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินโฉนดเลขที่ 13702 ของจำเลยตามเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องให้โจทก์และบริวารมีสิทธิใช้ทางดังกล่าวตลอดไปให้จำเลยรื้อถอนทำลายสิ่งปิดกั้นให้ทางพิพาทกลับคืนสู่สภาพเดิม และห้ามมิให้จำเลยรื้อถอนทำลายสิ่งปิดกั้นให้ทางพิพาทกลับคืนสู่สภาพเดิม และห้ามมิให้จำเลยหรือบริวารกระทำการใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งทางดังกล่าวต้องลดหรือเสื่อมความสะดวกอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน โฉนดเลขที่13702 โจทก์มิได้เป็นผู้ปกครองทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 ของนางศิริพงษ์มิได้เป็นทายาทเพียงลำพังคนเดียวของนางศิริพงษ์ทั้งมิได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของกรรมสิทธิ์และผู้ปกครองทรัพย์รวมโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 ไม่ได้ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ เพราะด้านทิศตะวันออกของที่ดินติดต่อกับทางสาธารณะและยังมีทางออกด้านทิศใต้ไปสู่ทางสาธารณะได้โจทก์รู้อยู่แล้วว่าที่ดินของโจทก์อยู่ติดกับทางสาธารณะจึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็นคดีนี้ ทางจำเป็นที่โจทก์ขอเปิดเป็นการขอที่เกินพอแก่ความจำเป็นและสร้างความเสียหายแก่ที่ดินของจำเลย และโจทก์ต้องใช้ค่าทดแทนความเสียหายตามราคาท้องตลาดขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดทางกว้าง 90 เซนติเมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 13702 ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัดนครศรีธรรมราชยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลย ด้านทิศตะวันออกและทิศเหนือ โดยเริ่มจากแนวประตูบ้านเลขที่ 834 ในขณะนี้ไปจนถึงหลักเขตที่ ฆ.2283 ไปถึงหลักเขตที่ ฆ.2288 และจากหลักเขตที่ฆ.2288 เลียบไปตามแนวที่ดินของจำเลยด้านทิศเหนือจนถึงถนนหลังพลับพลา ให้โจทก์และบริวารมีสิทธิใช้ทางดังกล่าวได้ตลอดไป โดยไม่ต้องใช้ค่าทดแทน ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นกีดขวางทางดังกล่าวออกไป ห้ามจำเลยและบริวารกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้ทางดังกล่าวลดหรือเสื่อมความสะดวก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันตามคำร้องลงวันที่ 4 มิถุนายน 2530 และวันที่ 10 มิถุนายน 2530 และตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่3 กุมภาพันธ์ 2530 ที่ศาลเดินเผชิญสืบที่พิพาทในชั้นไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์ ได้ความว่า เดิมที่ดินของโจทก์จำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ภายหลังมีการแบ่งแยกที่ดินออกเป็นหลายแปลง ทำให้ที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ หลังจากมีการตรวจสอบหลักฐานทางสำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว โจทก์ทราบว่า มีทางสาธารณะอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 ของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกจริงโดยนายไพศาล ฮาลาบี เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2518 ได้ขอแบ่งแยกโฉนดออกหลายแปลงและแบ่งเป็นทางสาธารณะเมื่อปี 2521 ทางสาธารณะดังกล่าวมีห้องแถว 9 ห้อง และสิ่งปลูกสร้างเมื่อปี 2514 บุคคลทั่วไปไม่สามารถเดินในทางสาธารณะดังกล่าวได้ โจทก์เพิ่งทราบว่ามีทางสาธารณะเมื่อฟ้องคดีแล้วดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติได้ว่า ที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกอยู่ติดกับที่ดินที่นายไพศาลได้แบ่งแยกเป็นทางสาธารณะแต่บุคคลทั่วไปไม่สามารถเดินในที่ดินบริเวณนี้ได้ เพราะมีห้องแถวและสิ่งปลูกสร้างอื่นมาปิดกั้นไว้ตั้งแต่ปี 2514 ตลอดมาตามแผนที่เอกสารหมาย ล.1 ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะตามสภาพที่เป็นจริงโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยเรียกร้องเอาทางเดินผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาตามฎีกาจำเลยประการที่สองมีว่า การแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 ของโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะหรือไม่ เห็นว่า ตามคำร้องลงวันที่ 10 มิถุนายน 2530โจทก์จำเลยรับกันว่าภายหลังแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินเลขที่ 537 ออกมาเป็นโฉนดย่อยเลขที่ 13703 ของโจทก์และ 13702 ของจำเลยและแปลงอื่น ๆ ทำให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 ของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้เลย จำเลยจะยกข้อเท็จจริงขึ้นต่อสู้ว่าที่ดินของโจทก์ทางทิศตะวันออกมีทางสาธารณะอยู่ก่อนแล้วเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยรับกันและศาลรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2530 แล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการที่สามว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยสุจริตหรือไม่ และควรกำหนดทางจำเป็นหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า ที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกอยู่ติดกับทางสาธารณะตามแผนที่เอกสารหมาย ล.1 จำเลยฎีกาอ้างว่าโจทก์ทำรั้วปิดกั้นไว้จึงไม่สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำร้องลงวันที่ 10 มิถุนายน 2530 ของโจทก์จำเลยรับข้อเท็จจริงร่วมกันซึ่งศาลจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 10 มิถุนายน 2530ความว่า ภายหลังตรวจสอบหลักฐานทางสำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์ทราบว่ามีทางสาธารณะอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่13703 ของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกจริง โดยทางดังกล่าวนายไพศาล ฮาลาปี เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2518 ได้ขอแบ่งแยกโฉนดเป็นหลายแปลงและแบ่งเป็นทางสาธารณะเมื่อปี 2521 ก่อนโจทก์ได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 มา ซึ่งในขณะแบ่งแยกนั้นในทางสาธารณะที่อยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 มีห้องแถวเลขที่ 846/17-846/25 รวม 9 ห้อง และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ปลูกสร้างอยู่ในทางสาธารณะดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว ก่อนการแบ่งแยกโดยปลูกสร้างเมื่อปี 2514 ทำให้เจ้าของโฉนดเลขที่ 13703 และบุคคลทั่วไปไม่สามารถเดินในทางดังกล่าวนั้นได้จนบัดนี้ ซึ่งโจทก์เพิ่งทราบว่า มีทางสาธารณะเมื่อฟ้องคดีไปแล้ว แสดงว่าขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลย โจทก์ไม่ทราบว่าที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกอยู่ติดกับทางสาธารณะที่นายไพศาลได้อุทิศไว้ และโจทก์เพิ่งทราบว่ามีทางสาธารณะเมื่อฟ้องคดีแล้ว โจทก์จึงใช้สิทธิโดยสุจริตในการฟ้องจำเลย มีปัญหาว่าควรกำหนดเป็นทางจำเป็นหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 ของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกอยู่ติดกับบริเวณที่ดินที่นายไพศาลได้อุทิศแบ่งแยกไว้เป็นทางสาธารณะ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากทางราชการออกโฉนดแปลงของโจทก์ แต่ที่ดินของนายไพศาลบริเวณดังกล่าวมีห้องแถว 9 ห้อง และสิ่งปลูกสร้างอื่นปลูกอยู่ก่อนแล้ว ไม่อาจใช้สัญจรออกไปสู่ทางสาธารณะถนนหลังพลับพลาได้ที่ดินบริเวณที่นายไพศาลแบ่งไว้จึงเป็นที่ดินซึ่งประชาชนทั่วไปและโจทก์ไม่อาจใช้ประโยชน์ในการสัญจรหรือการจราจรได้จริง ที่ดินของโจทก์จึงถูกที่ดินแปลงอื่นปิดกั้นไม่อาจออกสู่ทางสาธารณะได้ตามสภาพที่เป็นจริง ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349โจทก์ย่อมมีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นที่พิพาทผ่านที่ดินของจำเลยไปออกสู่ทางสาธารณะที่ใช้สัญจรไปมาตามความเป็นจริงได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการสุดท้ายว่า โจทก์ต้องเสียค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็นแก่จำเลยหรือไม่ ปรากฏว่าตามคำร้องลงวันที่ 10 มิถุนายน 2530 โจทก์จำเลยรับข้อเท็จจริงกันว่า ภายหลังแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 537 ออกมาเป็นโฉนดแปลงย่อยเลขที่ 13703 ของโจทก์และ 13702 ของจำเลยและแปลงอื่น ๆทำให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 ของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้เลย ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน โฉนดเลขที่13703 ที่ถูกแบ่งแยกออกมามีสิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นได้จากที่ดินที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันออกมาไปสู่ทางสาธารณะได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share