คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 290/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยพกอาวุธปืนเข้าไปในบริเวณรั้วบ้านผู้ตายในยามวิกาล นับได้ว่าเป็นการกระทำอันเป็นความผิดต่อกฎหมายผู้ตายเมื่อรู้ตัวว่าของหาย แลเห็นจำเลยก็เข้าใจว่าเป็นคนร้ายลักทรัพย์จึงฟันเอา แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าการที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตาย เป็นผลจากการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าวจำเลยหาอาจป้องกันภยันตรายที่เกิดขึ้นเพราะการกระทำของตนอันเป็นความผิดต่อกฎหมายไม่ได้การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 1 คน มีอาวุธปืนติดตัว ได้ร่วมกันลักทรัพย์ของผู้ตายและมารดาผู้ตาย ทันทีทันใดที่จำเลยกับพวกกระทำผิดดังกล่าว ผู้ตายได้ติดตามจับกุมจำเลย จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัดโดยมีเจตนาฆ่า ทั้งนี้ เพื่อให้พ้นจากการจับกุมและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาที่จำเลยกระทำไว้ ทันใดผู้ตายใช้อาวุธมีดฟันถูกร่างกายจำเลยเป็นบาดแผลสาหัส ส่วนผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่จำเลยยิงในวันนั้นเอง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 339, 83

จำเลยให้การรับว่าได้ใช้ปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจริง แต่ได้กระทำเพื่อป้องกันตัว

ศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ลักทรัพย์ดังกล่าว แต่เชื่อว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยเจตนา พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 288 แห่งประมวลกฎหมายอาญา จำคุก 15 ปี จำเลยเป็นเด็กอายุ 15 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 75 จำเลยให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้อีกกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 9 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ผู้ตายด่าว่าและฟันจำเลยก่อน จำเลยวิ่งหนีแต่ผู้ตายยังคงวิ่งไล่จำเลยจึงยิงเอา ถือได้ว่าเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุโดยชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาตามมาตรา 288

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์มิได้อุทธรณ์ในเรื่องลักทรัพย์ ประเด็นนี้จึงเป็นอันยุติในศาลชั้นต้น ปัญหาสู่ศาลฎีกาคงมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ศาลฎีกาฟังว่า คดีนี้เกิดเหตุภายในบริเวณรั้วบ้านผู้ตาย และหาได้เกิดขึ้นตรงสี่แยกนอกรั้วดังจำเลยกล่าวอ้างไม่ จำเลยได้พกอาวุธปืนติดตัวเข้าไปในบริเวณบ้าน ฝ่ายผู้ตายเมื่อรู้ตัวว่าของหายจึงลงจากเรือน และเห็นจำเลยก็เข้าใจว่าเป็นคนร้ายลักทรัพย์จึงได้ฟันเอา

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยพกอาวุธปืนเข้าไปในบริเวณรั้วบ้านผู้ตายในยามวิกาลเช่นนี้ นับได้ว่าเป็นการกระทำอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย ดังนั้นที่จำเลยยิงผู้ตายจึงเป็นผลจากการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว จำเลยกระทำการป้องกันภยันตรายที่เกิดขึ้นเพราะการกระทำผิดกฎหมายของตนหาได้ไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ

Share