คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำขอของโจทก์ในคดีอาญาก่อนคือการคืนหรือให้ใช้ราคาทรัพย์ซึ่งเป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลในคดีอาญามีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาได้ และเมื่อศาลในคดีอาญาได้รับคำขอส่วนแพ่งของโจทก์ ดังกล่าวไว้พิจารณาโดยชอบแล้ว ย่อมมีผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง(1)ที่ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่นอีก แม้ในส่วนดอกเบี้ยที่โจทก์มิได้มีคำขอในคดีอาญา ก็ตาม แต่ดอกเบี้ยนี้เป็นดอกผลที่เกิดตามเงินต้นตามกฎหมาย การฟ้องร้องขอบังคับในส่วนดอกเบี้ยจึงอาศัยและพึงต้อง ฟ้องมาในคราวเดียวกัน จึงต้องห้ามตามคำฟ้องในส่วน เงินต้นด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองปลอมใบรับน้ำมันของกองพลทหารราบ ที่ 3 รวม 33 ฉบับ และปลอมใบรับน้ำมันของกองพันทหารสื่อสารที่ 3 รวม 5 ฉบับ แล้วนำใบรับน้ำมันปลอมไปขอรับน้ำมันจากสถานีคลังน้ำมันหลายครั้ง โดยไม่ผ่านการตัดยอดจากกองส่งกำลังบำรุง กองบัญชาการช่วยรบที่ 2รวมเป็นเงินค่าน้ำมันทั้งสิ้น 724,239.38 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 946,037.69 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 724,239.38 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ดำเนินคดีอาญาจำเลยที่ 1กับพวกต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 21 เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2530ตามคดีหมายเลขดำที่ 21/2530 ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์โดยขอให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคาน้ำมันจำนวนเดียวกันกับน้ำมันในคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2 คืนน้ำมันที่เบิกรับไปตามฟ้องหักทอนด้วยน้ำมันเบนซิน 800 ลิตร หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนหรือชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 717,039.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ3,000 บาท คำขออื่นให้ยกและยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่เป็นฟ้องซ้อนโดยเฉพาะในส่วนดอกเบี้ยเพราะมิได้มีคำขอในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 21/2530 ของศาลมณฑลทหารบกที่ 21 นั้น เห็นว่า คำขอโจทก์ในคดีอาญาดังกล่าวคือการคืนหรือให้ใช้ราคาทรัพย์ซึ่งเป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลในคดีอาญามีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาได้ และเมื่อศาลในคดีอาญาได้รับคำขอส่วนแพ่งของโจทก์ดังกล่าวไว้พิจารณาโดยชอบแล้ว ย่อมมีผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง (1) ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่นอีก แม้ในส่วนดอกเบี้ยที่โจทก์มิได้มีคำขอในคดีอาญาก็ตามแต่ดอกเบี้ยนี้เป็นดอกผลที่เกิดตามเงินต้นตามกฎหมาย การฟ้องร้องขอบังคับในส่วนดอกเบี้ยจึงอาศัยและพึงต้องฟ้องมาในคราวเดียวกันกับเงินต้นจึงต้องห้ามตามคำฟ้องในส่วนเงินต้นด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share