แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ กำหนดลำดับขั้นตอนนำไปสู่การนัดหยุดงานได้โดยชอบตามมาตรา 22 วรรคท้าย โดยเริ่มจากการที่นายจ้างหรือลูกจ้างแจ้งข้อเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อกำหนดหรือแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเสียก่อน แต่การแจ้งข้อเรียกร้องดังกล่าวหาต้องกระทำด้วยตนเองเสนอไปไม่ อาจให้สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานแล้วแต่กรณีดำเนินการแทนสมาชิกได้ ทั้งมีอำนาจดำเนินการตามขั้นตอนต่อจากนั้นแทนผู้เป็นสมาชิกต่อไปหลังจากนั้นผู้เป็นสมาชิกก็สามารถปิดงานหรือนัดหยุดงานตามแต่กรณีไปโดยชอบ ดังนี้เมื่อสหภาพแรงงานที่โจทก์ทั้งเก้าเป็นสมาชิก ได้แจ้งนัดหยุดงานตามขั้นตอนโดยชอบดังกล่าวแล้ว ถือได้ว่าเป็นการแจ้งนัดหยุดงานแทนสมาชิกด้วย โจทก์ทั้งเก้าจึงไม่ต้องแจ้งนัดหยุดงานต่อจำเลยอีก ส่วนการหยุดงานนั้นมีบทบัญญัติ มาตรา 99 อนุญาตให้สหภาพแรงงานชักชวนสนับสนุนลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพเข้าร่วมหยุดงานเพิ่มขึ้นภายหลังได้อีก ฉะนั้น การหยุดงานจึงหาจำต้องเข้าสมทบหยุดงานพร้อมกันตั้งแต่เริ่มต้นไม่ ดังนี้ เมื่อโจทก์ทั้งเก้าซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเข้าร่วมหยุดงานภายหลังที่สหภาพแรงงานได้นัดหยุดงานไปก่อนแล้ว จึงชอบด้วยกฎหมาย มิใช่เป็นการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุสมควรตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 เป็นเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งเรียกว่า คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำเลยที่ 14 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ซึ่งเป็นนายจ้างโจทก์ทั้งเก้า โจทก์ทั้งเก้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานส่งเสริมสิ่งทอไทย เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2529 สหภาพแรงงานส่งเสริมสิ่งทอไทยได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อจำเลยที่ 14 เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง จำเลยที่ 14 ได้แจ้งข้อเรียกร้องต่อสหภาพแรงงาน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2529 ได้มีการไกล่เกลี่ยโดยพนักงานประนอมข้อพิพาทแล้ว แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ สหภาพแรงงานจึงแจ้งนัดหยุดงานตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2529 เวลา 8.00 นาฬิกาถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2529 และเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2529สหภาพแรงงานได้มีหนังสือถึงจำเลยที่ 14 และพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ แจ้งกำหนดวันนัดหยุดงานอีกครั้งเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2529 เป็นต้นไป ในวันที่สหภาพแรงงานประกาศเริ่มต้นนัดหยุดงานนั้น โจทก์ทั้งเก้าไม่ได้ร่วมนัดหยุดงานแต่ได้เข้าร่วมนัดหยุดงานในภายหลัง ปรากฏรายละเอียดท้ายคำฟ้องต่อมาวันที่ 3 ธันวาคม 2529 จำเลยที่ 14 ตกลงกับสหภาพแรงงานได้มีการทำสัญญาข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และพนักงานทุกคนรวมทั้งโจทก์ทั้งเก้าได้กลับเข้าทำงานในวันที่ 8 ธันวาคม 2529 หลังจากนั้นจำเลยที่ 14 ได้มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้ากับพวกอีกหลายคนกล่าวหาว่าละทิ้งหน้าที่การงานเกินสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร โจทก์ทั้งเก้าและพวกรวม 16 คน ได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 ขอให้วินิจฉัยเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมของจำเลยที่ 14 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 ซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ พิจารณาแล้วมีคำสั่งที่ 40-44/2530 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม2530 ยกคำร้องของโจทก์ทั้งเก้าและพวกโดยอ้างว่าการเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้ากับพวกของจำเลยที่ 14 นั้นไม่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมเพราะโจทก์ทั้งเก้ากับพวกเข้าร่วมนัดหยุดงานในภายหลัง เป็นการไม่ชอบถือว่าโจทก์ทั้งเก้ากับพวกละทิ้งหน้าที่การงานเป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกัน โจทก์ทั้งเก้าเห็นว่าคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีกฎหมายกำหนดว่าลูกจ้างผู้ร่วมนัดหยุดงานต้องร่วมนัดหยุดงานทันที ลูกจ้างสามารถเข้าร่วมนัดหยุดงานเมื่อใดก็ได้ในระหว่างที่มีข้อพิพาทแรงงานที่เกิดจากการยื่นข้อเรียกร้อง จึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 40-44/2530 และบังคับให้จำเลยที่ 14 รับโจทก์ทั้งเก้าเข้าทำงานในสภาพการจ้างเดิมก่อนถูกเลิกจ้างและนับอายุงานต่อเนื่องเสมือนไม่เคยเลิกจ้าง กับให้จ่ายค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งเก้าเท่ากับอัตราค่าจ้างรายวันคูณด้วยจำนวนวันตั้งแต่วันถูกเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงาน แต่ถ้าจำเลยที่ 14 ไม่สามารถรับกลับเข้าทำงานได้ก็ให้จำเลยที่ 14 จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าเสียหายจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมและค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยอัตราสูงสุดที่กฎหมายให้เรียกได้นับแต่วันที่โจทก์มีสิทธิ์ได้รับจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์แต่ละคน ดังมีรายละเอียดปรากฏท้ายคำฟ้อง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 และที่ 14 ให้การทำนองเดียวกันว่าโจทก์ทั้งเก้าไม่ได้ลงลายมือชื่อมอบอำนาจให้นายมานิต สังวรณ์ ผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีนี้ ใบมอบอำนาจท้ายฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายมานิต สังวรณ์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ที่ 1เข้าทำงานกับจำเลยที่ 14 เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2524 โจทก์ที่ 2เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2516 โจทก์ที่ 3 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน2525 โจทก์ที่ 4 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2522 โจทก์ที่ 5 เมื่อวันที่22 กรกฎาคม 2528 โจทก์ที่ 6 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2522 โจทก์ที่ 7 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2527 โจทก์ที่ 8 เมื่อวันที่ 12 มกราคม2528 และโจทก์ที่ 9 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2524 จำเลยที่ 14เลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้าเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2530 เนื่องจากโจทก์ทั้งเก้าละทิ้งหน้าที่การงานติดต่อกันเกินกว่าสามวันโดยไม่มีเหตุอันสมควร กล่าวคือโจทก์ที่ 1 ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม2529 ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2529 รวม 40 วัน โจทก์ที่ 2 ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2529 ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2529 รวม 41 วันโจทก์ที่ 3 ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2529 ถึงวันที่ 7ธันวาคม 2529 รวม 38 วัน โจทก์ที่ 4 ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่1 พฤศจิกายน 2529 ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2529 รวม 37 วัน โจทก์ที่ 5 ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2529 ถึงวันที่ 7ธันวาคม 2529 รวม 40 วัน โจทก์ที่ 6 ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 28ตุลาคม 2529 ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2529 รวม 41 วัน โจทก์ที่ 7ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2529 ถึงวันที่ 7 ธันวาคม2529 รวม 38 วัน โจทก์ที่ 8 ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม2529 ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2529 รวม 39 วัน และโจทก์ที่ 9 ละทิ้งหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2529 ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2529 รวม39 วันซึ่งการหยุดงานของโจทก์ทั้งเก้านั้นไม่ได้หยุดงานตั้งแต่วันที่สหภาพแรงงานนัดหยุดงานแต่มาร่วมหยุดสมทบในภายหลัง เป็นการไม่ชอบตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 และในวันที่ 26 ตุลาคม 2529 โจทก์ทั้งเก้าได้เข้าทำงานในขณะที่สหภาพแรงงานส่งเสริมสิ่งทอไทยร่วมกับคนงานนัดหยุดงาน จำเลยที่ 14ได้แจ้งให้โจทก์ทั้งเก้าทราบว่าจะใช้สิทธิหยุดงานอีกไม่ได้ แต่โจทก์ทั้งเก้าก็มาหยุดงานดังกล่าวข้างต้นและโจทก์ทั้งเก้าหยุดงานโดยมิได้แจ้งการหยุดงานให้จำเลยที่ 14 ซึ่งเป็นนายจ้างทราบตามมาตรา 34วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 การที่โจทก์ทั้งเก้ามาร่วมนัดหยุดงานภายหลัง จึงเป็นการไม่ชอบตามมาตรา 5, 22 และ 34 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518การกระทำของโจทก์ทั้งเก้าจึงเป็นการละทิ้งหน้าที่ ไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 99(2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518จำเลยที่ 14 จึงมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้าเมื่อวันที่ 9 เมษายน2530 คำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 40-44/2530 ชอบแล้วไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง ในวันนัดสืบพยานคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงและแถลงสละคำขอและข้อต่อสู้บางประการคือ โจทก์ทั้งเก้าขอสละคำขอเรื่องค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีและรับว่าได้เข้าทำงานและถูกเลิกจ้างตามวันเวลาในคำให้การข้อ 1 ของจำเลยที่ 14 จริง โจทก์ทั้งเก้าได้เริ่มหยุดงานจนถึงวันเข้าทำงานใหม่ตามคำให้การข้อ 3 ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 จำเลยที่ 14ได้ปิดประกาศและคำชี้แจงตามเอกสารหมาย ล.1-ล.4 ให้โจทก์ทั้งเก้าทราบแล้ว จำเลยทั้งสิบสี่ขอสละข้อต่อสู้เรื่องการมอบอำนาจไม่ถูกต้องและรับว่าโจทก์ทั้งเก้าเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยที่ 14มีวันทำงาน อัตราค่าจ้าง การแจ้งข้อเรียกร้อง การหยุดงานและการเลิกจ้างตามคำฟ้อง ศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ประกาศและคำชี้แจงของจำเลยที่ 14 ตามเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 เป็นการลิดรอนสิทธิที่จะร่วมนัดหยุดงานของลูกจ้าง ไม่มีผลใช้บังคับคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 40-44/2530 ไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยที่ 14 ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าเสียหายค่าชดเชยพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 40-44/2530 ฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2530 และให้จำเลยที่ 14 จ่ายเงินให้โจทก์ที่ 1 จำนวน 34,518.50 บาท (2,463.50 + 15,000 + 17,055)โจทก์ที่ 2 จำนวน 47,274 บาท (2,054 + 31,000 + 14,220)โจทก์ที่ 3 จำนวน 25,913.50 บาท (2,008.50 + 10,000 + 13,905)โจทก์ที่ 4 จำนวน 32,568 บาท (2,028 + 16,500 + 14,040)โจทก์ที่ 5 จำนวน 11,468 บาท (1,898 + 3,000 + 6,570)โจทก์ที่ 6 จำนวน 35,561.50 บาท (2,216.50 + 18,000 + 15,345)โจทก์ที่ 7 จำนวน 13,787 บาท (1,969.50 + 5,000 + 6,817.50)โจทก์ที่ 8 จำนวน 12,968 บาท (1,898 + 4,500 + 6,570 บาท)โจทก์ที่ 9 จำนวน 29,583 บาท (2,093 + 13,000 + 14,490)พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในยอดเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการกระทำอันไม่เป็นธรรมนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 4 มกราคม 2532) และในยอดเงินค่าชดเชยนับแต่วันเลิกจ้าง (วันที่ 9 เมษายน 2530) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ละคน จำเลยทั้งสิบสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยทั้งสิบสี่ อุทธรณ์ประการแรกสรุปเป็นใจความได้ว่า เมื่อข้อพิพาทแรงงานเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ สหภาพแรงงานจึงแจ้งการนัดหยุดงานต่อจำเลยที่ 14 โดยกำหนดนัดหยุดงานพร้อมกันในวันที่ 26 ตุลาคม 2529จำเลยที่ 14 จึงประกาศให้ลูกจ้างทุกคนทราบว่า จำเลยที่ 14 ไม่ปิดงานคงทำงานตามปกติ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสหภาพแรงงานมีสิทธิที่จะหยุดงานก็ขอให้ใช้สิทธิตามกฎหมาย แต่ถ้าเลยวันนัดหยุดงานแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติงานยังคงปฏิบัติงานให้กับจำเลยที่ 14 อยู่ จะใช้สิทธินัดหยุดงานอีกไม่ได้ โจทก์ทั้งเก้ามิได้ใช้สิทธินัดหยุดงานร่วมกับสหภาพแรงงานตามมาตรา 22 วรรคท้าย แต่ต่อมาโจทก์ทั้งเก้าได้ออกไปร่วมสมทบภายหลังโดยมิได้บอกกล่าวจำเลยที่ 14 ต้องถือว่าโจทก์ทั้งเก้าเริ่มใช้สิทธินัดหยุดงานตามมาตรา 22 วรรคท้ายโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 34 วรรคท้ายแห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 จึงเป็นการละทิ้งหน้าที่เกินกว่าสามวันติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 99(2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518นั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ลำดับขั้นตอนที่จะนำไปสู่การนัดหยุดงานได้โดยชอบตามมาตรา 22 วรรคท้ายโดยจะต้องเริ่มจากการที่นายจ้างลูกจ้างแจ้งข้อเรียกร้องต่ออีกฝ่ายหนึ่งเพื่อให้มีการกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเสียก่อน แต่การแจ้งข้อเรียกร้องดังกล่าว นายจ้าง ลูกจ้างหาจำต้องกระทำด้วยตนเองเสมอไปไม่อาจจะให้สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานดำเนินการแทนนายจ้างหรือลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกได้ ในกรณีที่สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานดำเนินการแทน นายจ้างหรือลูกจ้างก็ไม่จำต้องแจ้งข้อเรียกร้องด้วยตนเองอีกชั้นหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากข้อความในมาตรา 15 วรรคสองที่บัญญัติไว้ว่า “ในกรณีที่สหภาพแรงงานเป็นผู้แจ้งข้อเรียกร้องข้อเรียกร้องนั้นไม่จำต้องมีรายชื่อและลายมือชื่อลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง” ในกรณีที่สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานดำเนินการแทนนายจ้างหรือลูกจ้างที่เป็นสมาชิก สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานย่อมมีอำนาจดำเนินการตามขั้นตอนแทนนายจ้างหรือลูกจ้างผู้เป็นสมาชิกต่อไป ตามมาตรา 21, 22 และ 34 วรรคท้ายหลังจากนั้นนายจ้างผู้เป็นสมาชิกของสมาคมนายจ้างหรือลูกจ้างผู้เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานก็สามารถปิดงานหรือนัดหยุดงานได้โดยชอบ ฉะนั้นการที่สหภาพแรงงานที่โจทก์ทั้งเก้าเป็นสมาชิกอยู่ได้แจ้งการนัดหยุดงานตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 34 วรรคท้ายแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นการแจ้งนัดหยุดงานแทนสมาชิกด้วย โจทก์ทั้งเก้าจึงไม่ต้องแจ้งการนัดหยุดงานต่อจำเลยที่ 14 อีก ส่วนการหยุดงานนั้นก็หาจำเป็นจะต้องเข้าสมทบหยุดงานพร้อมกันเฉพาะในวันเริ่มแรกไม่ ดังจะเห็นได้จากข้อความในมาตรา 99ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อสหภาพแรงงานปฏิบัติการดังต่อไปนี้เพื่อประโยชน์ของสมาชิกอันมิใช่เป็นกิจการเกี่ยวกับการเมือง ให้ลูกจ้างสหภาพแรงงาน กรรมการ อนุกรรมการและเจ้าหน้าที่ของสหภาพแรงงานได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกกล่าวหาหรือฟ้องร้องทางอาญาหรือทางแพ่งฯลฯ (2) นัดหยุดงานหรือช่วยเหลือ ชักชวนหรือสนับสนุนให้สมาชิกนัดหยุดงาน ฯลฯ ทั้งนี้เว้นแต่เป็นความผิดทางอาญาในลักษณะความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน เกี่ยวกับชีวิตและร่างกายเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง เกี่ยวกับทรัพย์ และความผิดในทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดทางอาญาในลักษณะดังกล่าว” จะเห็นได้ว่าความในมาตราดังกล่วเป็นการสอดคล้องกับการนัดหยุดงานที่ดำเนินการกันโดยทั่ว ๆ ไป ซึ่งอนุญาตให้มีการชักชวนหรือสนับสนุนลูกจ้าง ซึ่งเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานที่ยังไม่ได้เข้าร่วมในตอนแรกให้เข้าร่วมในการนัดหยุดงานเพิ่มขึ้นได้ เพื่อเป็นกำลังในการที่ต่อรองกับนายจ้าง การชักชวนดังกล่าวหากได้กระทำโดยสันติ โดยมิได้ใช้กำลังก็ย่อมสามารถกระทำได้โดยชอบ และด้วยวิธีการเช่นนี้ย่อมจะมีลูกจ้างซึ่งไม่ได้เข้าร่วมหยุดงานในตอนเริ่มแรกได้เข้ามาร่วมหยุดงานเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยชอบตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ฉะนั้น การที่โจทก์ทั้งเก้าซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานออกมาร่วมนัดหยุดงานในภายหลังจากที่สหภาพแรงงานได้นัดหยุดงานไปแล้ว จึงเป็นการนัดหยุดงานโดยชอบตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 5 การกระทำของโจทก์ทั้งเก้าจึงมิใช่เป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47(4) อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสิบสี่ฟังไม่ขึ้น
จำเลยทั้งสิบสี่อุทธรณ์ประการต่อมาว่า ประกาศและคำชี้แจงของจำเลยที่ 14 ตามเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 ที่ให้พนักงานซึ่งไม่ได้ร่วมนัดหยุดงานเข้าทำงานตามปกติ แต่เมื่อกลับเข้าทำงานแล้วจะใช้สิทธิหยุดงานอีกไม่ได้ มีผลใช้บังคับนั้น เห็นว่า การนัดหยุดงานเป็นสิทธิของลูกจ้างที่กฎหมายให้อำนาจไว้เพื่อประโยชน์ในการต่อรองกับนายจ้างในเรื่องข้อพิพาทแรงงาน เมื่อโจทก์ทั้งเก้ามีสิทธิเข้าร่วมนัดหยุดงานโดยชอบแล้ว ประกาศและคำชี้แจงของจำเลยที่ 14 จึงไม่มีผลลบล้างสิทธิดังกล่าวของโจทก์ทั้งเก้าได้ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยทั้งสิบสี่ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน