แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเพราะผู้ตายใช้อาวุธปืนเด็กเล่นเล็งมายังกลุ่มของจำเลยก่อน ทำให้จำเลยสำคัญผิดว่ากำลังจะถูกผู้ตายใช้อาวุธปืนยิง จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพื่อป้องกันตนอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง แม้จำเลยจะไม่ได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้น แต่เหตุที่จำเลยเพิ่งยกข้อต่อสู้นี้ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัย ก็เนื่องมาจากจำเลยเพิ่งทราบข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนอันเป็นประโยชน์แก่จำเลย เพราะหลังจากเสร็จการพิจารณาของศาลชั้นต้นแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ส่งสำนวนการสอบสวนคดีนี้มาประกอบการวินิจฉัย ซึ่งเอกสารในสำนวนการสอบสวนนั้นมีสาระสำคัญเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในชั้นสอบสวน ศาลจึงชอบที่จะใช้ดุลพินิจรับฟังข้อเท็จจริงจากสำนวนการสอบสวนที่โจทก์ไม่ได้อ้างส่งศาลเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ตามที่ ป.วิ.อ.มาตรา 227 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 371, 32, 33, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้าน ทางสาธารณะเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน แต่เมื่อลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจเรียงกระทงลงโทษความผิดฐานอื่นได้อีกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) จึงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว ริบหัวกระสุนปืนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเพราะผู้ตายใช้อาวุธปืนเด็กเล่นเล็งมายังกลุ่มของจำเลยก่อน ทำให้จำเลยสำคัญผิดว่ากำลังจะถูกผู้ตายใช้อาวุธปืนยิง จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพื่อป้องกันตนอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง แม้จำเลยจะไม่ได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้น แต่เหตุที่จำเลยเพิ่งยกข้อต่อสู้นี้ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัย ก็เนื่องมาจากจำเลยเพิ่งทราบข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนอันเป็นประโยชน์แก่จำเลย เพราะหลังจากเสร็จการพิจารณาของศาลชั้นต้นแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ส่งสำนวนการสอบสวนคดีนี้มาประกอบการวินิจฉัย ซึ่งเอกสารในสำนวนการสอบสวนนั้น มีสาระสำคัญเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในชั้นสอบสวน ศาลจึงชอบที่จะใช้ดุลพินิจรับฟังข้อเท็จจริงจากสำนวนการสอบสวนที่โจทก์ไม่ได้อ้างส่งศาลเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยปัญหานี้มานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวน ในข้อนี้ได้ความจากคำเบิกความของดาบตำรวจธนยศอีกว่าพยานสอบถามรายละเอียดจากนายไพรสันต์และผู้เสียหายหลังกลับมาที่หมู่บ้านแก้งสมบูรณ์ได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหาย นายไพรสันต์ กับผู้ตายและพวกดื่มสุราที่บริเวณงานได้มีพวกของนายไพรสันต์มาแจ้งว่าถูกวัยรุ่นหมู่บ้านห้วยปอตีทำร้ายผู้เสียหาย นายไพรสันต์ กับผู้ตายและพวกที่ดื่มสุราจึงออกไปพบวัยรุ่นหมู่บ้านห้วยปอที่บริเวณที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงผู้ตายวิ่งนำหน้าพวกผู้ตายและใช้อาวุธปืนเด็กเล่นเล็งไปทางกลุ่มวัยรุ่นบ้านห้วยปอจึงถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงสวนได้รับบาดเจ็บในเวลานั้นและได้ความตามบันทึกคำให้การของดาบตำรวจธนยศและนายไพรสันต์ในชั้นสอบสวนตรงกันว่า ก่อนเกิดเหตุนั้นจำเลยกับพวกกำลังจะขึ้นรถจักรยานยนต์เดินทางออกไปจากที่เกิดเหตุ แต่ผู้ตายวิ่งนำหน้าพวกของผู้ตายโดยนายไพรสันต์วิ่งตามไปติด ๆ และผู้ตายใช้อาวุธปืนเด็กเล่นยกขึ้นเล็งไปทางกลุ่มวัยรุ่นบ้านห้วยปอ จึงถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงสวนถูกที่บริเวณหน้าท้อง เห็นว่า คำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวนของดาบตำรวจธนยศสอดคล้องกับคำเบิกความของนายทินกรและผู้เสียหายในข้อที่ว่าผู้ตายวิ่งนำหน้าพวกของตนเข้าไปหากลุ่มวัยรุ่น ซึ่งมีจำเลยร่วมอยู่ด้วยทำให้น้ำหนักคำเบิกความของนายไพรสันต์ที่อ้างว่าผู้ตายเพียงแต่ใช้ขวดขว้างไปยังกลุ่มวัยรุ่นบ้านห้วยปอ ขณะจำเลยกำลังจะซ้อนรถจักรยานยนต์เพื่ออกไปจากบริเวณดังกล่าวมีน้ำหนักน้อย ดังนั้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงรับฟังประกอบสำนวนการสอบสวนคดีนี้มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยไม่ได้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย เมื่อผู้ตายกับพวกวิ่งเข้ามาหาโดยผู้ตายถืออาวุธปืนเด็กเล่นจ้องเล็งไปทางจำเลยในระยะใกล้ชิดในสภาวะและพฤติการณ์เช่นนั้น จำเลยย่อมไม่มีเวลาไตร่ตรองว่าอาวุธปืนในมือของผู้ตายเป็นอาวุธปืนจริงหรือไม่ จำเลยจึงมีโอกาสสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายจะใช้อาวุธปืนจริงยิงจำเลยก่อนได้ ซึ่งการสำคัญผิดในสภาวะและพฤติการณ์เช่นนี้ไม่อาจถือได้ว่าเกิดจากความประมาทของจำเลย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพียง 1 นัด แล้วขึ้นรถจักรยานยนต์ของพวกจำเลยหลบหนีไป นับว่าเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบด้วย มาตรา 62 วรรคแรก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดและลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ฐานฆ่าผู้อื่นมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 91 เมื่อรวมโทษจำคุกในความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และลหุโทษ ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี และให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานฆ่าผู้อื่นเสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3