คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2889/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมยอมรับเช็คจำนวน 5 ฉบับ เพื่อแลกเปลี่ยนกับเช็คพิพาทจำนวน 2 ฉบับ แม้จะยังไม่ยอมคืน เช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่จำเลยในขณะรับเช็ค 5 ฉบับ แต่การที่โจทก์ร่วมนำเช็คทั้งห้าฉบับไปเรียกเก็บเงินแล้ว แสดงว่าโจทก์ร่วมเข้าถือสิทธิตามเช็คดังกล่าวและสละสิทธิหรือไม่ยึดถือสิทธิใด ๆ ที่มีอยู่ในเช็คพิพาททั้งสองฉบับ อีกต่อไป รวมทั้งสิทธิที่จะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยด้วย ข้อตกลงแลกเปลี่ยนเช็คดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการยอมความกัน ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับเช็คพิพาททั้งสองฉบับระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องทั้งสองสำนวนขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และนับโทษของจำเลยทั้งสองสำนวนนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1852/2541 หมายเลขดำที่ 267/2541 และหมายเลขดำที่ 4027/2542 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นางนวลน้อย ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อ. มาตรา 91 กระทงแรกจำคุก 4 เดือน กระทงที่สอง จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 1 ปี 4 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1852/2541 หมายเลขดำที่ 267/2541 และหมายเลขดำที่ 4027/2541 (ที่ถูก 4027/2542) ของศาลชั้นต้น ศาลยังไม่มีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว จึงให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินแล้วออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ร่วม เพื่อชำระหนี้ เมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนด โจทก์ได้นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่าย ต่อมาโจทก์ร่วมและจำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินกันอีกโดยจำเลยออกเช็คจำนวน 5 ฉบับ ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินใหม่ด้วย แต่เช็คจำนวน 5 ฉบับ ที่จำเลยออกให้โจทก์ร่วมนี้เรียกเก็บเงินไม่ได้ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมมีว่า สิทธิดำเนินคดีอาญาของโจทก์และโจทก์ร่วมตามเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ ระงับไปแล้วหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วมเบิกความเป็นพยานไว้อย่างชัดแจ้งว่า การกู้เงินระหว่าง โจทก์ร่วมและจำเลยคดีนี้เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คในคดีนี้ จำเลยและโจทก์ร่วมได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกันใหม่โดยจำเลยสั่งจ่ายเช็คให้ใหม่แทนสัญญากู้เงินและเช็ค เมื่อพิจารณาประกอบกับคำเบิกความของจำเลยที่เบิกความว่าโจทก์ร่วมนำเช็คจำนวน 5 ฉบับ ที่จำเลยออกให้ใหม่ไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าเช็คจำนวน 5 ฉบับ และสัญญากู้เงินที่จำเลยออกให้ใหม่นั้นเกิดจากมูลหนี้ตามเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์ร่วมยอมรับเช็คจำนวน 5 ฉบับ ที่จำเลยออกให้ใหม่เป็นการแลกเปลี่ยนกับ เช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ และตกลงเข้าถือสิทธิตามเช็คจำนวน 5 ฉบับ ดังกล่าว กับสละสิทธิหรือไม่ยึดถือสิทธิใด ๆ ที่มีอยู่ในเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ อีกต่อไป ซึ่งรวมถึงสิทธิที่จะดำเนินคดีกับจำเลยซึ่งเป็นผู้ออกเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ ด้วย ข้อตกลงแลกเปลี่ยนเช็คระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยถือได้ว่าเป็นการยอมความกัน อันมีผลให้สิทธิในการนำ คดีอาญาในเช็คพิพาทของโจทก์และโจทก์ร่วมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share