แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมอบหมายเรียกสำเนาคำฟ้องและใบแต่งทนายความให้ ต. คนขับรถบรรทุกข้าวสารของจำเลยนำไปให้ทนายความที่กรุงเทพฯ ก่อนครบกำหนดยื่นคำให้การ 2 วัน ปกติรถบรรทุกข้าวสารของจำเลยจะต้องถึงกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้นแต่รถเสียกลางทางต้องซ่อมหลายวันจนพ้นกำหนดยื่นคำให้การ ทนายความจึงยื่นคำให้การ เมื่อพ้นกำหนดเวลา นับว่าเป็นความบกพร่องและความผิดของจำเลยเองพฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและการยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การโดยอ้างเหตุดังนี้ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอยื่นคำให้การโดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้องเสียก่อนได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 ตกลงขายข้าวสารให้แก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ส่งมอบข้าวสารให้โจทก์ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินจำนวน 1,333,964.80 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การว่าจำเลยที่ 1 ยังมีข้อต่อสู้โจทก์ จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจชำระหนี้ตามที่โจทก์เรียกร้องได้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การโดยอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เคยยื่นคำให้การฉบับลงวันที่20 สิงหาคม 2527 และศาลมีคำสั่งไม่รับคำให้การดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2527 ที่จำเลยอ้างว่าทนายจำเลยมาดูคำสั่งศาลที่ไม่รับคำให้การเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2527 ประกอบกับพฤติการณ์ตามคำร้องยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินจำนวน 1,333,964.80 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่ทำการไต่สวนคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสอง และอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้วพิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายข้าวสารกันตามเอกสารหมาย จ.5 โดยกำหนดให้จำเลยที่ 1 ผู้ขายส่งมอบข้าวสารให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2525 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2525 ต่อมาโจทก์ขยายเวลาการส่งมอบข้าวสารออกไปอีก 2 ครั้งจนถึงวันที่ 28 มีนาคม 2526 เมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ได้ข้าวตามสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและแจ้งจะริบหลักประกันที่วางไว้กับโจทก์โดยสงวนสิทธิในการเรียกค่าเสียหายไว้อีก คงมีปัญหาข้อแรกตามฎีกาของจำเลยว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยมิได้ไต่สวนเป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่าที่ยื่นคำให้การพ้นกำหนดนั้นมีเหตุอันสมควรเพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 มอบหมายเรียก สำเนาคำฟ้องและใบแต่งทนายความให้นายตี พัดสารัมย์ คนขับรถบรรทุกข้าวสารของจำเลยที่ 1 นำไปให้ทนายความตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2527 ก่อนครบกำหนดยื่นคำให้การถึง 2 วัน ปกติรถบรรทุกข้าวสารของจำเลยที่ 1จะต้องถึงกรุงเทพฯ ในตอนเช้าวันที่ 13 สิงหาคม 2527 แต่รถไปเสียกลางทางต้องซ่อมจนถึงเย็นวันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2527นายตีไม่ทราบว่าเป็นเอกสารสำคัญและไม่กล้าทิ้งรถซึ่งบรรทุกข้าวสารเต็มคันไป จึงเพิ่งมอบหมายเรียกสำเนาคำฟ้องและใบแต่งทนายให้แก่ทนายความในวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2527และทนายความนำคำให้การมายื่นในวันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2527การที่ศาลไม่ไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เสียก่อน กลับสั่งยกคำร้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 เช่นนี้ จึงเป็นการไม่ชอบนั้น เมื่อพิจารณาจากคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยที่ 1ที่ 2 แล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1ที่ 2 เองที่ฝากเอกสารสำคัญในการต่อสู้คดีมากับคนขับรถบรรทุกข้าวสารโดยไม่แจ้งให้ทราบว่าเป็นเอกสารที่มีความสำคัญอย่างไร ต้องส่งให้ถึงมือทนายความในวันเวลาใด ทั้งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็เพิกเฉยปล่อยให้เวลาผ่านไปจนเหลืออีกเพียง 2 วัน เพิ่งฝากหมายเรียกสำเนาคำฟ้องและใบแต่งทนายความให้คนขับรถนำจากบุรีรัมย์เข้ามากรุงเทพมหานคร ทั้งๆ ที่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้อยู่ก่อนแล้วโดยวิธีการอื่นที่ดีกว่านี้ เหตุล่าช้าเหล่านี้นับว่าเป็นความผิดของจำเลยที่ 1ที่ 2 เองที่ไม่นำพาต่อสิทธิของตน และยังอ้างว่ามาดูคำสั่งศาลแล้วศาลสั่งไม่รับคำให้การเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม2527 ซึ่งความจริงศาลเพิ่งสั่งไม่รับคำให้การเมื่อวันที่27 สิงหาคม 2527 พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตตามคำขอของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ดังนั้นแม้จะสั่งไต่สวนไปอย่างมากก็คงฟังได้ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งถือว่าเป็นความผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เองดังกล่าวแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสั่งไต่สวน ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งยกคำร้องขอยื่นคำให้การนี้เสียได้โดยไม่จำต้องไต่สวนคำร้องเสียก่อนดังจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาแล้ววินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2ในข้อต่อไปโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มิได้ส่งมอบข้าวสารให้โจทก์ตามสัญญา โจทก์ได้รับความเสียหายแล้ว
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 2,500 บาทแทนโจทก์.