คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2888/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ ป. ใช้ไม้ตีผู้ตาย แล้วจำเลยเข้ามาชกต่อยผู้ตายที่ใบหน้า 1 ครั้ง นอกจากนั้นยังมีคนอื่นเข้ามารุมชกต่อยผู้ตายอีกคนละครั้งสองครั้ง แล้วพากันหลบหนีไป พฤติการณ์แห่งคดีจึงฟังได้เพียงว่าจำเลยชกต่อยผู้ตายเพียง 1 ครั้ง ในขณะที่ผู้ตายถูกคนหลายคนกลุ้มรุมทำร้ายและเกิดเหตุวุ่นวาย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีสาเหตุกับผู้ตายมาก่อนหรือมีอาวุธติดตัวมาแต่อย่างใด การที่ป. ใช้ไม้ตีผู้ตายโดยเจตนาฆ่าในระหว่างนั้น จึงเป็นการกระทำของป. โดยลำพัง น่าเชื่อว่าจำเลยมีเจตนาเพียงร่วมกับ ป. กับพวกทำร้ายผู้ตายเท่านั้น แม้จำเลยกับ ป. เป็นพี่น้องกันและเข้าทำร้ายผู้ตายด้วย ก็ไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับ ป.ฆ่าผู้ตาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนี้กับจำเลยซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษไปแล้ว ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1368/2533 ของศาลชั้นต้น ได้ร่วมกันรุมชกต่อยและใช้ไม้ท่อนตีที่ศีรษะ นายหนูเดือน ผิวพรรณ ผู้ตายโดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 20 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก จำคุก 3 ปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุที่โจทก์ฟ้อง นายหนูเดือน ผิวพรรณผู้ตาย ถูกนายประสาท สิงห์ดงเมือง จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1368/2533 ของศาลชั้นต้นกับพวกร่วมกันชกต่อยและใช้ไม้ตีที่บริเวณต้นคอ เป็นเหตุทำให้ฐานสมองแตกและเลือดออกในสมองถึงแก่ความตายครั้นวันที่ 3 พฤศจิกายน 2534 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยมาดำเนินคดีคดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมกับนายประสาท สิงห์ดงเมือง จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1368/2533 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษไปแล้วฆ่าผู้ตายตามฟ้องหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนายทองใสสุดหนองหว้า ประจักษ์พยานโจทก์ว่า ก่อนผู้ตายล้มลงหมดสติได้เกิดเหตุวุ่นวายที่ด้านหลังพยานกับผู้ตาย เมื่อพยานหันไปดูเห็นนายประสาทใช้ไม้ตีผู้ตาย แล้วจำเลยเข้ามาชกต่อยผู้ตายที่ใบหน้า 1 ครั้ง นอกจากนั้นยังมีคนอื่นเข้ามารุมชกต่อยผู้ตายอีกคนละครั้งสองครั้ง แล้วพากันหลบหนีไป พฤติการณ์แห่งคดีจึงฟังได้เพียงว่าจำเลยชกต่อยผู้ตายเพียง 1 ครั้งในขณะที่ผู้ตายถูกคนหลายคนกลุ้มรุมทำร้ายและเกิดเหตุวุ่นวาย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีสาเหตุกับผู้ตายมาก่อนหรือมีอาวุธติดตัวมาแต่อย่างใด การที่นายประสาทใช้ไม้ตีผู้ตายโดยเจตนาฆ่าในระหว่างนั้น จึงเป็นการกระทำของนายประสาทโดยลำพัง น่าเชื่อว่าจำเลยมีเจตนาเพียงร่วมกับนายประสาทกับพวกทำร้ายผู้ตายเท่านั้น คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และชั้นพิจารณาทั้งโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบสนับสนุน แม้จำเลยกับนายประสาทเป็นพี่น้องกันและเข้าทำร้ายผู้ตายด้วย ก็ไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับนายประสาทฆ่าผู้ตายตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share