แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยผลิตกัญชาโดยการเพาะปลูกต้นกัญชาประมาณ 400 ต้นและมีกัญชาแห้งหนัก 12 กิโลกรัม กับเมล็ดกัญชาแห้ง 1 ถุงหนัก 1 กิโลกรัม ไว้ในครอบครอง ดังนี้เห็นได้ว่าเฉพาะแต่ต้นกัญชาจำนวน 25 ต้น เท่านั้น ที่ถือว่าเป็นผลที่เกิดจากการผลิตกัญชาโดยการปลูกของจำเลย แต่สำหรับกัญชาแห้งหนัก12 กิโลกรัม กับเมล็ดกัญชาแห้ง 1 ถุง หนัก 1 กิโลกรัมเมื่อไม่ปรากฏว่าคือส่วนหนึ่งของผลผลิตซึ่งเกิดจากต้นกัญชาที่จำเลยปลูก การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยผลิตกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5โดยการเพาะปลูกต้นกัญชาแซมกับต้นฝ้ายในไร่ฝ้ายเนื้อที่ประมาณ5 ไร่ เป็นต้นกัญชาจำนวนประมาณ 500 ต้น จำเลยมีต้นกัญชาที่จำเลยผลิตโดยการเพาะปลูกดังกล่าวและกัญชาแห้งหนักประมาณ12 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และมีเมล็ดกัญชาแห้งจำนวน 1 ถุง หนัก 1 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเจ้าพนักงานจับจำเลยพร้อมยึดได้ต้นกัญชา จำนวน 25 ต้น หนัก20 กิโลกรัม อันเป็นส่วนหนึ่งของกัญชาที่จำเลยผลิตตามฟ้องกับกัญชาแห้งและเมล็ดกัญชาแห้งที่จำเลยมีไว้ในครอบครองดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 26, 75, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 75 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เรียงกระทงลงโทษฐานผลิตกัญชาจำคุก 6 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปีรวมจำคุก 12 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 8 ปี ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 75 วรรคหนึ่ง,76 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษฐานมีกัญชาไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยผลิตกัญชาโดยการเพาะปลูกต้นกัญชาแซมกับต้นฝ้ายในไร่ฝ้ายเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ เป็นต้นกัญชาประมาณ 500 ต้น และมีกัญชาแห้งหนัก 12 กิโลกรัม กับเมล็ดกัญชาแห้ง 1 ถุง หนัก 1 กิโลกรัมไว้ในครอบครอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าเฉพาะแต่ต้นกัญชาจำนวน 25 ต้นหนัก 20 กิโลกรัม ของกลาง ที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดมาเป็นของกลางเท่านั้น ที่ถือว่าเป็นผลที่เกิดจากการผลิตกัญชาโดยการปลูกของจำเลยแต่สำหรับกัญชาแห้งหนัก 12 กิโลกรัม กับเมล็ดกัญชาแห้ง 1 ถุงหนัก 1 กิโลกรัมของกลางอีกส่วนหนึ่งนั้น ไม่ปรากฏว่าคือส่วนหนึ่งของผลผลิตซึ่งเกิดจากต้นกัญชาที่จำเลยปลูกจำนวน 500 ต้นดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน มิใช่เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น