คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1029/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายนอนไม่หลับจึงลุกจากเตียงไปเปิดไฟฟ้าแต่ยังไม่ทันเปิดจำเลยก็เข้าไปอยู่ในห้องนอนและอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 1 เมตร ในมือถือมีดและเดินเข้าจะรวบลำตัวของผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายยกมือซ้ายขึ้นกันคมมีดที่จำเลยถือจึงบาดนิ้วมือและเข่าของผู้เสียหายผู้เสียหายร้องขอความช่วยเหลือก็มีเสียงตอบรับ จำเลยตกใจและวิ่งไปเปิดประตู แต่เปิดไม่ออก จำเลยจึงวิ่งย้อนกลับไปยังหน้าต่างที่ใช้ปีนเข้ามา จำเลยวิ่งอยู่ในห้อง กลับไปกลับมาและฉายไฟฉายด้วย ปรากฏว่าไฟฉายที่ส่องไปกระทบกระจกตู้เสื้อผ้าที่ตั้งไว้ในห้องนอนซึ่งใช้เป็นที่กั้น เป็นห้องนอนในตัวซึ่งมีช่องกระจกใสอยู่ 5 ช่องเพื่อหาทางหนีอย่างฉุกละหุก แม้ไม่ตั้งใจส่องไฟไปกระทบบานกระจกแต่บานกระจกเหล่านั้นตั้งอยู่ในระยะใกล้ การส่องไฟหาทางหนีเป็นธรรมดาที่ต้องส่ายลำแสงไฟไปทั่วย่อมจะเกิดแสงสว่างสะท้อนกลับทำให้ผู้เสียหายเห็นคนร้าย นอกจากนี้ยังปรากฏว่าผู้เสียหายสามารถเห็นไฟฉายที่คนร้ายถืออยู่นั้นว่าเป็นไฟฉายใช้ถ่านไฟฉาย 2 ก้อน และมีดที่คนร้ายถือยาว 1 คืบเศษสีขาวลักษณะเป็นมีดพกบ่งชัดว่าผู้เสียหายสามารถเห็นความยาวของมีด หากมีดที่ถือไม่ยาวเป็นคืนก็ไม่น่าจะทำให้เกิดบาดแผลที่มือผู้เสียหายยาว 2.5 เซนติเมตร มีดที่ผู้เสียหายเบิกความถึงจึงสอดคล้องลักษณะการใช้ ทั้งผู้เสียหายสามารถระบุเสื้อผ้าที่คนร้ายสวมว่าเป็นเสื้อสีเทาลักษณะเสื้อทหารและสวมกางเกงสีดำ ทำให้เชื่อว่ามีแสงสะท้อนสว่างพอที่จะเห็นหน้าคนร้าย ประกอบกับจำเลยเป็นญาติและมีบ้านอยู่ห่างบ้านเกิดเหตุประมาณ 150 เมตร ผู้เสียหายจึงรู้จักจำเลยมาก่อนและจำจำเลยได้เป็นอย่างดี เพราะมีบ้านอยู่ใกล้ ๆ กันย่อมมองเห็นรูปร่างหน้าตาเป็นประจำ แม้แสงสว่างที่ส่องเป็นเพียงแสงสะท้อนก็เชื่อว่ามีแสงเพียงพอที่ผู้เสียหายจะเห็นและจำคนร้ายได้ วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายระบุตัวจำเลยว่าเป็นคนร้ายและเจ้าพนักงานตำรวจไปจับในวันรุ่งขึ้นนั้นเองกับได้บันทึกพฤติการณ์แห่งการกระทำของคนร้าย ทั้งระบุชื่อของจำเลยว่าเป็นคนร้ายด้วย แม้ผู้เสียหายจะไม่ได้ระบุชื่อคนร้ายในทันทีต่อผู้ที่ไปที่เกิดเหตุ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า คนร้ายไม่ใช่จำเลยจึงไม่ใช่เหตุที่จะทำคำให้การและคำเบิกความของผู้เสียหายเสียไป ทั้งในเวลาเย็นของวันที่จำเลยถูกจับนาง พ. ภริยาจำเลยและญาติของจำเลยไปเจรจากับผู้เสียหายโดยตกลงชำระค่าเสียหายให้จำนวน 5,000 บาท หากจำเลยไม่ใช่คนร้ายภริยาและญาติของจำเลยก็ไม่จำต้องไปเจรจาชำระค่าเสียหายแม้ผู้ไปเจรจาไม่ใช่จำเลยแต่ก็มีภริยาจำเลยและญาติสนิทรวมอยู่และเจรจาเพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยยอมชำระเงินจำนวนไม่น้อย พยานหลักฐานของโจทก์สมเหตุสมผลสอดคล้องกับพยานแวดล้อม พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362, 364, 365 และ 295
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 262 (ที่ถูกเป็น 362), 364 และ 365(1)(2)(3)ลงโทษจำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 362, 364, 365(1)(2)(3)การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 362 ประกอบด้วยมาตรา 365(1)(2)(3) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ในคืนเกิดเหตุมีคนร้ายคนหนึ่งเข้าไปในห้องนอนของผู้เสียหายและใช้มีดที่พาไปทำร้ายถูกที่นิ้วมือและเข่าของผู้เสียหายจนโลหิตไหลเป็นอันตรายแก่กาย ตามฎีกาของจำเลยมีปัญหาว่าจำเลยใช่คนร้ายหรือไม่ ตามคำนางสาวปาริชาติ กันยังผู้เสียหายว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายนอนไม่หลับเพราะอากาศร้อนจึงลุกจากเตียงนอนจะไปเปิดไฟฟ้าแต่ยังไม่ทันเปิดจำเลยก็เข้าไปอยู่ในห้องนอนและอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 1 เมตร ในมือถือมีดและเดินเข้าจะรวบลำตัวของผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายยกมือซ้ายขึ้นกัน คมมีดที่จำเลยถือจึงบาดนิ้วมือและเข่าของผู้เสียหายผู้เสียหายร้องขอความช่วยเหลือก็มีเสียงตอบรับ จำเลยตกใจและวิ่งไปเปิดประตูแต่เปิดไม่ออก จำเลยจึงวิ่งย้อนกลับไปยังหน้าต่างที่ใช้ปีนเข้ามา จำเลยวิ่งอยู่ในห้องกลับไปกลับมาและฉายไฟฉายด้วย ตามคำผู้เสียหายว่าแสงไฟฉายที่ส่องไปกระทบกระจกตู้เสื้อผ้าที่ตั้งไว้ในห้องนอนใช้เป็นที่กั้นเป็นห้องนอนในตัวมีช่องกระจกใสอยู่ 5 ช่อง ทำให้จำได้ว่าคนร้ายนั้นคือจำเลยตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 ก็มีตู้เสื้อผ้าตั้งกั้นอยู่ใกล้เตียงนอนกับคำผู้เสียหายโดยระบุว่าตู้เสื้อผ้านั้นมี 5 ช่อง 5 ประตู แต่ละประตูมีกระจกใสคนร้ายส่องไฟฉายเพื่อหาทางหนีอย่างฉุกละหุก แม้ไม่ตั้งใจส่องแสงไฟไปกระทบบานกระจก แต่บานกระจกเหล่านั้นตั้งอยู่ในระยะใกล้หันไปยังที่ว่างที่ใช้เป็นทางเดิน การส่องไฟหาทางหนีเป็นธรรมดาที่ต้องส่ายลำแสงไฟไปทั่ว ย่อมจะเกิดแสงสว่างสะท้อนกลับตามคำผู้เสียหายทำให้เห็นคนร้าย ดังจะเห็นได้ว่าผู้เสียหายสามารถเห็นไฟฉายที่คนร้ายถืออยู่นั้นว่าเป็นไฟฉายใช้ถ่านไฟฉาย 2 ก้อน และมีดที่คนร้ายถือยาว 1 คืบเศษ สีขาวลักษณะเป็นมีดพกบ่งชัดว่าผู้เสียหายสามารถเห็นความยาวของมีด หากมีดที่ถือไม่ยาวเป็นคืบก็ไม่น่าจะสามารถทำให้เกิดบาดแผลที่มือผู้เสียหายยาว2.5 เซนติเมตร มีดที่ผู้เสียหายเบิกความถึงจึงสอดคล้องลักษณะการใช้ ทั้งผู้เสียหายสามารถระบุเสื้อผ้าที่คนร้ายสวมว่าสวมเสื้อสีเทาลักษณะเสื้อทหารและสวมกางเกงสีดำ ทำให้เชื่อว่ามีแสงสะท้อนสว่างพอที่จะเห็นคนร้ายได้ ทั้งตามคำผู้เสียหายว่าจำเลยเป็นญาติและมีบ้านอยู่ห่างบ้านเกิดเหตุประมาณ 150 เมตรจำเลยก็รับสมคำผู้เสียหายด้วย ผู้เสียหายจึงรู้จักจำเลยมาก่อนและจำจำเลยได้เป็นอย่างดี เพราะมีบ้านอยู่ใกล้ ๆ กันย่อมมองเห็นรูปร่างหน้าตาเป็นประจำ แม้แสงสว่างที่ส่องเป็นเพียงแสงสะท้อนก็เชื่อว่ามีเพียงพอที่ผู้เสียหายจะเห็นและจำคนร้ายได้และในวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายก็ได้ระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายและเจ้าพนักงานตำรวจไปจับในวันรุ่งขึ้นนั่นเองเวลา 8.15 นาฬิกาตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.3 ตามคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่บันทึกในวันรุ่งขึ้นตามเอกสารหมาย จ.5ก็บันทึกพฤติการณ์แห่งการกระทำของคนร้ายตรงกับคำเบิกความของผู้เสียหาย ทั้งระบุชื่อของจำเลยว่าเป็นคนร้ายด้วยแม้ผู้เสียหายไม่ระบุชื่อคนร้ายในทันทีต่อผู้ที่ไปที่เกิดเหตุแต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าคนร้ายไม่ใช่จำเลยจึงไม่ใช่เหตุที่จะทำให้คำให้การและคำเบิกความของผู้เสียหายเสียไปผู้เสียหายให้เหตุผลว่าที่ไม่ระบุชื่อในทันทีนั้นเพราะจำเลยเป็นญาติตามคำผู้เสียหายและนายข่าย กันยัง พยานโจทก์บิดาผู้เสียหายว่าในเวลาเย็นของวันที่จำเลยถูกจับนางไพวัล กุนโทน ภริยาจำเลยและญาติของจำเลยไปเจรจากับนายข่ายและผู้เสียหายโดยตกลงชำระค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายจำนวน 5,000 บาท หากจำเลยไม่ใช่คนร้ายภริยาและญาติของจำเลยก็ไม่จำต้องไปเจรจาชำระค่าเสียหายและให้นายข่ายบิดาผู้เสียหายร่วมรับรู้ แม้ผู้ไปเจรจาไม่ใช่จำเลยแต่ก็มีภริยาจำเลยและญาติสนิทรวมอยู่และเจรจาเพื่อประโยชน์ของจำเลยยอมชำระเงินจำนวนไม่น้อยพยานหลักฐานของโจทก์สมเหตุสมผลสอดคล้องพยานแวดล้อม ที่จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่และแม้จะมีนางไพวัลเบิกความเป็นพยานจำเลยสนับสนุนแต่พยานของจำเลยก็เป็นภริยาจำเลยเองมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ศาลล่างทั้งสองฟังต้องกันว่าจำเลยเป็นคนร้าย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share