คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2885/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งจากที่ดินมีโฉนดของ ล. โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทไว้โดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปี โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ต่อมาล. ได้ขายที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้จำเลย ก่อนจำเลยจะซื้อที่ดินจำเลยได้ทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินและได้สอบถามโจทก์ว่าที่พิพาทเป็นของใครด้วย แสดงว่าจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าที่ดินโฉนดดังกล่าวได้เกิดที่งอกริมตลิ่งและโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาท การที่จำเลยรู้แล้วว่าโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทยังขืนซื้อจึงเป็นการไม่สุจริต โจทก์จึงยังมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามมาตรา 1382 ตลอดมา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 481 ตำบลคุ้งพยอม (โพพยอม)อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ได้เกิดที่งอกริมตลิ่งทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวานางผ่อง มารดาโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่งอกริมตลิ่งดังกล่าวส่วนหนึ่งเนื้อที่ 94 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องภายในเส้นสีแดง ไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยในฐานะเป็นเจ้าของเรื่อยมา และเมื่อประมาณ 30 ปีก่อนฟ้องนางผ่องได้ยกที่ดินอันเป็นที่งอกริมตลิ่งดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่โจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยในฐานะเป็นเจ้าของติดต่อกันเรื่อยมา นับแต่รับการยกให้เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2523นางโล่ รอดเล็ก ได้สมคบกับจำเลยจดทะเบียนขายที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 481 ให้แก่จำเลย อันเป็นทางเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะที่จดทะเบียนของตนได้อยู่ก่อนแล้ว ทั้งนี้โดยนางโล่และจำเลยต่างทราบดีอยู่แล้วว่า โจทก์ได้ครอบครองที่งอกภายในเส้นสีแดงจนได้กรรมสิทธิ์แล้วโดยการครอบครอง และเป็นการซื้อขายกันหลอก ๆ มิได้มีการจ่ายเงินค่าที่ดินกัน และจำเลยไม่เคยเข้าครอบครองหรือเข้าทำประโยชน์ใด ๆ ต่อมาเมื่อปี 2526 จำเลยได้ขอออกโฉนดที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกริมตลิ่งตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องภายในเส้นสีน้ำเงินคลุมเอาที่ดินภายในเส้นสีแดงที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ด้วย ขอให้พิพากษาว่าที่งอกริมตลิ่งเฉพาะส่วนภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 94 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า ที่งอกริมตลิ่งติดกับที่ดินตามโฉนดเลขที่ 481ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นั้น ตกได้แก่จำเลย นางผ่องไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่งอกริมตลิ่ง จึงไม่มีสิทธิในที่งอกริมตลิ่ง นางผ่องไม่มีสิทธิยกที่ดินที่งอกริมตลิ่งให้โจทก์ และการยกให้โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิยกขึ้นมาอ้างกับจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วได้ โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองปรปักษ์ที่งอกริมตลิ่งตามฟ้อง และยังไม่มีการจดทะเบียนสิทธิครอบครอง โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ที่งอกริมตลิ่งเฉพาะส่วนภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องอีกต่อไป จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อประมาณ 40 ปีก่อนฟ้อง ที่ดินโฉนดเลขที่ 481 ตำบลคุ้งพยอม (โพพยอม)อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ได้เกิดที่งอกริมตลิ่ง เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องภายในเส้นสีน้ำเงินที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่งอกมีเนื้อที่ประมาณ94 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องภายในเส้นสีแดง เมื่อปี 2496นางโล่ รอดเล็กมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 481ดังกล่าว ปรากฏตามภาพถ่ายสารบัญจดทะเบียนในโฉนดเอกสารหมาย จ.1หรือ ล.1 คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่และโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่…
ปัญหาข้อหลังนั้น โจทก์เบิกความว่า เมื่อเกิดที่งอกริมตลิ่งแล้ว นางผ่องมารดาโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ต่อมาเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้วนางผ่องได้ยกที่พิพาทให้โจทก์ด้วยวาจา โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันตลอดมา ไม่มีผู้ใดโต้แย้งการครอบครองของโจทก์แต่อย่างใด และโจทก์มีนายกื้อ แซ่เจี่ย นายสวัสดิ์ ปานทอง กับนายยอน เลียะเครือเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า พยานเห็นนางผ่องและโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทประมาณ 40 ปีมาแล้ว นอกจากนั้นนางสาวสมัย รอดเล็ก บุตรสาวนางโล่ และนายชัย เง่อเลิศ บุตรเขยนางโล่ พยานจำเลยเบิกความยอมรับว่า พยานเห็นนางผ่องและโจทก์ทำประโยชน์ในที่พิพาท โดยเฉพาะนางสาวสมัยเบิกความด้วยว่าเห็นนางผ่องทำประโยชน์ในที่พิพาทประมาณ 30 ปีแล้ว และเห็นโจทก์ทำประโยชน์ในที่พิพาทประมาณ 20 ปีแล้ว จึงฟังข้อเท็จจริงในชั้นนี้ได้ว่า โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ส่วนโจทก์จะได้ครอบครองที่พิพาทไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าโจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทโดยขออนุญาตนางโล่ และต่อมาเมื่อปี2523 จำเลยซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 481 จากนางโล่ โจทก์ก็ได้ขออนุญาตจำเลยทำประโยชน์ในที่พิพาท เห็นว่า จำเลยมิได้ให้การไว้ตามข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การและนอกประเด็น และที่จำเลยฎีกาว่าก่อนจำเลยจะซื้อที่ดินมาจากนางโล่ก็ได้สอบถามโจทก์ว่าที่ทำกินในที่พิพาทเป็นของใคร โจทก์บอกว่าเป็นของนางโล่และขออนุญาตนางโล่แล้ว ก็ปรากฏว่าจำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าโจทก์ขออนุญาตนางโล่เข้าทำกินในที่พิพาท จึงไม่เป็นประเด็นและไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่าง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปี โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แต่ได้ความตามภาพถ่ายสารบัญจดทะเบียนในโฉนดเลขที่ 481 เอกสารหมาย จ.1 หรือล.1 ว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2523 นางโล่ขายที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้จำเลย จำเลยนำสืบว่าจำเลยซื้อที่ดินดังกล่าวมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต เป็นการนำสืบต่อสู้ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอันยังมิได้จดทะเบียนสิทธิดังกล่าว จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหาได้ไม่ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1299 วรรคสอง เห็นว่า จำเลยเบิกความว่า ก่อนจำเลยจะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 481 ก็ได้ทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินตามโฉนดถูกต้องและได้ความจากจำเลยฎีกาว่า ก่อนจำเลยจะซื้อที่ดินดังกล่าวได้สอบถามโจทก์ว่าที่ทำกินในที่พิพาทเป็นของใครด้วย แสดงว่าจำเลยทราบอยู่ก่อนแล้วว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 481 ได้เกิดที่งอกริมตลิ่งจำเลยจึงรู้เห็นอยู่แล้วในขณะซื้อว่ามีโจทก์ครอบครองที่พิพาทการที่จำเลยรู้เห็นแล้วว่าโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทยังขืนซื้อ จึงเป็นการไม่สุจริต ข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวฟังไม่ขึ้น โจทก์จึงยังมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ตลอดมา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share