คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2880/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการต่อศาลตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 56 แม้กฎหมายจะไม่ได้กำหนดให้อุทธรณ์โดยฟ้องผู้ใดเป็นจำเลยก็ตาม แต่ผู้ที่ออกคำสั่งเพิกถอนเครื่องหมายบริการของโจทก์คือ คณะกรรมการเครื่องหมายการค้า เมื่อตามคำขอท้ายฟ้อง โจทก์มีคำขอบังคับให้ศาลพิพากษายกคำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ซึ่งเป็นคำขอบังคับฝ่ายบริหาร ดังนั้น การที่โจทก์ไม่ฟ้องคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าแต่มาฟ้องจำเลยจึงไม่ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายบริการที่โจทก์ได้จดทะเบียนไว้
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2540 โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายบริการคำว่า PLAZA ATHENEE สำหรับสินค้าบริการจำพวก 42 ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ได้แก่ บริการธุรกิจโรงแรม บริการภัตตาคาร การบริการอาหารและเครื่องดื่ม ฯลฯ ตามคำขอจดทะเบียนที่ 326211 และได้รับการจดทะเบียนตามทะเบียนเลขที่ บ.6551 วันที่ 14 ตุลาคม 2540 จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายบริการคำว่า HOTEL PLAZA ATHENEE พร้อมรูปรอยประดิษฐ์ตามคำขอจดทะเบียนที่ 346281 และได้รับการจดทะเบียนตามทะเบียนเลขที่ บ. 10610 หลังจากเครื่องหมายบริการของโจทก์และของจำเลยได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากนายทะเบียนแล้ว ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม 2544 จำเลยยื่นคำขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายบริการของโจทก์อ้างว่า โจทก์ไม่ใช้เครื่องหมายบริการติดต่อกันมานานเกินกว่าสามปี โดยไม่มีพฤติการณ์พิเศษตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 63 คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าพิจารณาแล้วมีคำสั่งที่ 10/2545 ให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายบริการของโจทก์ โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า หนังสือมอบอำนาจไม่มีข้อความใดที่โนตารีปับลิกได้รับรองอำนาจของนายฟรองซัวส์ ว่ามีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ โนตารีปับลิกคงรับรองเพียงลายมือชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของนายฟรองซัวส์ เท่านั้น โจทก์มีภาระต้องพิสูจน์ให้ได้ความชัดว่าใครเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ แต่โจทก์หาได้กระทำไม่ ทั้งหลักฐานการประชุมผู้ถือหุ้นโจทก์และการจดทะเบียนกรรมการล้วนเกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส โจทก์สามารถแสวงหามาแสดงต่อศาลได้ง่าย จึงเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าวเพราะคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้คดีเพียงว่า นายฟรองซัวส์ ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ การมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจมิได้กระทำโดยถูกต้องตามข้อกำหนดและเงื่อนไขแห่งหนังสือรับรองการจดทะเบียนของโจทก์ คำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้งว่าหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ไม่ถูกต้องอย่างไร เมื่อโจทก์มีหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีที่โนตารีปับลิกลงนามเป็นพยานและมีเอกสารรายงานการประชุมคณะกรรมการโจทก์พร้อมคำแปลมาแสดงว่า นายฟรองซัวส์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรับผิดชอบต่อการบริหารกิจการทั้งหมดของโจทก์ มีอำนาจทำการแทน จึงฟังได้แล้วว่านายฟรองซัวส์เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้จริง ส่วนปัญหาว่าการที่โจทก์ฟ้องจำเลยโดยไม่ฟ้องคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าผู้มีคำสั่งให้เพิกถอนเครื่องหมายบริการของโจทก์ถูกต้องหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่โจทก์นำคดีมาสู่ศาลเป็นการกระทำโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 65 การฟ้องคดีมีลักษณะเป็นการอุทธรณ์คัดค้านการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องของฝ่ายบริหาร เป็นกรณีที่โจทก์มีอำนาจทำได้โดยไม่จำต้องฟ้องฝ่ายบริหารเข้ามาในคดีนั้น พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 65 บัญญัติว่า เมื่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งเพิกถอนหรือไม่เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 63 ผู้ร้องขอให้เพิกถอนหรือเจ้าของเครื่องหมายการค้ามีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการต่อศาลภายในเก้าสิบวัน ซึ่งตามมาตรา 80 ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้ามาใช้บังคับแก่เครื่องหมายบริการโดยอนุโลม ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เห็นว่า แม้กฎหมายจะไม่ได้กำหนดให้อุทธรณ์โดยฟ้องผู้ใดเป็นจำเลยก็ตาม แต่เห็นได้ว่าผู้ที่ออกคำสั่งเพิกถอนเครื่องหมายบริการของโจทก์คือคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ดังนั้น โจทก์จึงต้องฟ้องคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การฟ้องคดีของโจทก์ไม่มีกรณีต้องบังคับให้ฝ่ายบริหารไปกระทำการใด ๆ หากศาลพิพากษายกหรือให้เพิกถอน คำสั่งคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าย่อมสิ้นผลไปตามกฎหมาย ซึ่งมีผลเท่ากับให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ยื่นคำขอโดยจำเลยนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เห็นว่า ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เอง โจทก์มีคำขอบังคับขอให้ศาลพิพากษายกคำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ 10/2545 ซึ่งเป็นคำขอบังคับฝ่ายบริหารอยู่แล้ว ดังนั้น การที่โจทก์ไม่ฟ้องคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าแต่มาฟ้องจำเลยจึงไม่ถูกต้อง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และเมื่อวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเสียแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้ออื่นก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share