แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำและใช้อาวุธมีดปลายแหลมขู่เข็ญ ผู้เสียหายว่าทันใดนั้นจะใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายหากผู้เสียหายขัดขืน แสดงว่าจำเลยมีอาวุธมีดและยังไม่ได้แทงทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ดังนั้น ที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ถูกของแหลมยาวประมาณ 6 ถึง 7 นิ้ว ไม่ทราบว่าเป็นวัตถุชนิดใด ทิ่มแทงที่ชายโครง 2 ครั้ง โดยไม่ปรากฏบาดแผลและอาวุธที่ใช้ทิ่มแทงเป็นของกลาง จึงรับฟังไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริง รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย ลำพังแต่คำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ย่อมไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ได้ ส่วนที่จำเลยเบิกความรับว่าจำเลยได้หยิบไม้กวาดขึ้นมาถือไว้ ทำให้ผู้เสียหายไม่กล้าเข้าใกล้จำเลย เท่ากับเป็นการขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายก็ตาม แต่ข้อเท็จจริง ที่จะรับฟังลงโทษจำเลยต้องได้มาจากพยานหลักฐานของโจทก์ คำเบิกความของจำเลยมิใช่พยานหลักฐานของโจทก์ จะนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘, ๓๓๙ บวกโทษที่รอการลงโทษในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์ แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้ายในการลักทรัพย์ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง จำคุก ๑๒ ปี คำให้การและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๘ ปี บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้เป็นจำคุก ๘ ปี ๑ เดือน ที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์นั้น ปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับทรัพย์ของกลางคืนแล้ว จึงให้ยกคำขอ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) วรรคแรก จำคุก ๒ ปี จำเลยให้การรับสารภาพภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ ปี ๔ เดือน บวกโทษจำคุก ๑ เดือน ที่รอไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้เป็นจำคุก ๑ ปี ๕ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้ลักเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปโดยทุจริต คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ในการลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายด้วยหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำและใช้อาวุธมีดปลายแหลมขู่เข็ญ พ. ว่าทันใดนั้นจะใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายหาก พ. ขัดขืน แสดงว่าจำเลยมีอาวุธมีดแต่ยังไม่ได้แทงทำร้ายร่างกาย พ. ดังนั้น พ. เบิกความว่า ถูกของแหลมยาวประมาณ ๖ ถึง ๗ นิ้ว ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นวัตถุชนิดใดทิ่มแทง ที่ชายโครง ๒ ครั้ง โดยไม่ปรากฏบาดแผลและอาวุธที่ใช้ทิ่มแทงเป็นของกลางจึงรับฟังไม่ได้ ส่วนที่ พ. เบิกความว่า มีการกอดปล้ำต่อสู้กันด้วยนั้น พ. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ในการกอดปล้ำกันครั้งแรก จำเลยไม่ได้ทำการต่อสู้ จำเลยเพียงแต่ดิ้นรนให้หลุดพ้นเท่านั้น ส่วนการกอดปล้ำกันครั้งที่สองไม่ได้ความว่า พ. กับจำเลยกอดปล้ำต่อสู้กันอย่างไร พฤติการณ์ของจำเลยที่โจทก์นำสืบมาจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้กำลังประทุษร้าย พ. ลำพังแต่คำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ได้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยเบิกความรับว่าจำเลยได้หยิบไม้กวาดขึ้นมาถือไว้ ทำให้ พ. ไม่กล้าเข้าใกล้จำเลย เท่ากับเป็นการขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย พ. นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่จะรับฟังลงโทษจำเลยต้องได้มาจากพยานหลักฐานของโจทก์ แม้จำเลยเบิกความรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฎีกา คำเบิกความดังกล่าวก็มิใช่พยานหลักฐานของโจทก์ จะนำมารับฟังเพื่อลงโทษจำเลยหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.