แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาว่าจำเลยมียาเสพติดให้โทษ(กัญชา) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และได้สอบสวนความผิดดังกล่าวแล้ว จึงย่อมถือได้ว่าความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษ (กัญชา) ไว้ในครอบครองที่โจทก์ฟ้องได้มีการสอบสวนความผิดแล้วด้วยเพราะการมีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายนั้นย่อมต้องมีไว้ในความครอบครอง.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 7, 26, 76, 102 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 2)พ.ศ.2522 เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 ลงวันที่ 17 กันยายน 2522 ข้อ 4 ริบกัญชาของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 มาตรา 76 จำคุก 8 เดือน ริบกัญชาของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 8 เดือน คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าคดีนี้พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยฐานมียาเสพติดให้โทษ (กัญชา) ไว้ในความครอบครอง พนักงานสอบสวนยังไม่ได้ทำการสอบสวน จึงต้องห้ามมิให้นำคดีมาฟ้อง ปัญหาข้อกฎหมายที่ฎีกานี้ไม่ได้ว่ากันมาในชั้นศาลอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงฎีกาได้ส่วนปัญหาที่ว่าพนักงานสอบสวนได้สอบสวนความผิดตามฟ้องโจทก์แล้วหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าในชั้นสอบสวนได้แจ้งข้อหาว่าจำเลยมียาเสพติดให้โทษ (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และได้สอบสวนความผิดดังกล่าวแล้ว จึงย่อมถือได้ว่าความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษ (กัญชา) ไว้ในครอบครองที่ฟ้องได้มีการสอบสวนความผิดแล้วด้วย เพราะการมีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายนั้นก็ย่อมจะต้องมีไว้ในครอบครองแล้วจึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.