คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2872/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 15 ปี ริบของกลางและให้จำเลยใช้เงินจำนวน 8,770,000 บาท แก่โจทก์ร่วมเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมกันใช้เงินจำนวน 7,760,000 บาท แก่โจทก์ร่วม เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และยังคงลงโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายพิษณุ เคนถาวร ซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหาย ร่วมกันลักเอาเงินสดของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างไป โดยร่วมกันทำใบสรุปยอดรายการโอนและใบรายละเอียดการโอนด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยไม่มีอำนาจหน้าที่และไม่ได้รับคำสั่งจากผู้เสียหายหรือลูกค้า ทำการหักถอนเงินจากบัญชีพักของผู้เสียหาย สาขาอุดรธานี แล้วโอนเงินที่ลักมาดังกล่าวในแต่ละวันไปฝากเข้าบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์ของจำเลยที่ธนาคารผู้เสียหาย สาขาถนนประจักษ์ อุดรธานี แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันจัดทำเอกสารใบคำขอถอนเงินจากบัญชีฝากประเภทออมทรัพย์ของจำเลยที่โอนมาในแต่ละวันไปโดยทุจริต เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยพร้อมยึดได้ใบสรุปยอดรายการโอน 5 ฉบับ และใบคำขอถอนเงิน 5 ฉบับ ที่จำเลยกับพวกร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 335,341 ริบของกลาง และให้จำเลยกับพวกร่วมกันใช้เงินจำนวน 8,770,000 บาท คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา บริษัทธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (11) วรรคสาม (ที่ถูก วรรคสอง) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 15 ปี ริบของกลาง และให้จำเลยใช้เงินจำนวน 8,770,000 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมกันใช้เงินจำนวน 7,760,000 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (11) วรรคสาม (ที่ถูก วรรคสอง) ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 15 ปี ริบของกลาง และให้จำเลยใช้เงินจำนวน 8,770,000 บาท แก่โจทก์ร่วม เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมกันใช้เงินจำนวน 7,760,000 บาท แก่โจทก์ร่วม อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และยังคงลงโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ร่วมกระทำความผิด ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยคดีโดยอาศัยการหยิบยกสรุปข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ อันเป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาคดีโดยอาศัยเพียงตรรกความน่าจะเป็นนั้น เป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 4 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มีลักษณะบิดเบือนให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบัญญติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยไว้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share