คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2704/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่านอกจากที่ดิน 3 แปลง ที่จำนองไว้แก่โจทก์แล้วจำเลยทั้งสองยังมีที่ดินโฉนดเลขที่ 27845 ตำบลลำพยา จังหวัดนครปฐม ราคาประเมิน 8,111,790 บาท จำเลยที่ 1 มีที่ดินอีก 2 แปลง โฉนดเลขที่ 22035 และ 23855 ตำบลโพรงมะเดื่อ จังหวัดนครปฐม ราคาประเมิน 198,775 บาท และ 418,700 บาท ตามลำดับ รวมราคาประเมิน 8,729,265 บาท หากซื้อขายในท้องตลาดที่ดินทั้งสามแปลงมีราคาไม่ต่ำกว่า 12,000,000 บาท ที่ดินทั้งสามแปลงมีภาระหนี้จำนองเหลืออยู่ 3,000,000 บาทเศษ ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองมีมากกว่าหนี้สินสามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมดไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว นั้น ข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลล้มละลายกลางแต่กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นนี้ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฯ มาตรา 28 ทั้งข้ออ้างของจำเลยทั้งสองเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่จะต้องพิจารณาเอาความจริงว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การและไม่สืบพยาน
จำเลยที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดนครปฐม ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2131/2540 ซึ่งพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ 2,489,973.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี จากต้นเงิน 2,476,741.32 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความ 23,900 บาท โดยผ่อนชำระเดือนละงวดทุกวันที่ 3 ของเดือน งวดแรกชำระภายในวันที่ 3 มกราคม 2541 จำนวนไม่น้อยกว่าเดือนละ 35,000 บาท และชำระให้เสร็จภายในวันที่ 3 มิถุนายน 2541 หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที โดยให้ยึดที่ดินจำนองโฉนดเลขที่ 68672, 68669, 66121 ตำบลลำพยา อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม พร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ ต่อมาจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีแล้วนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองดังกล่าวขายทอดตลาดได้เงินชำระหนี้บางส่วน คิดถึงวันที่ 20 มกราคม 2548 ซึ่งเป็นวันฟ้องคดีนี้จำเลยทั้งสองค้างชำระหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ 2 ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน มีผู้รับหนังสือไว้โดยชอบแล้วตามเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.11 แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเพียงประการเดียวว่า จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่านอกจากที่ดิน 3 แปลง ที่จำนองไว้แก่โจทก์แล้วจำเลยทั้งสองยังมีที่ดินโฉนดเลขที่ 27845 ตำบลลำพยา อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ราคาประเมิน 8,111,790 บาท จำเลยที่ 1 มีที่ดินอีก 2 แปลง โฉนดเลขที่ 22035 และ 23855 ตำบลโพรงมะเดื่อ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ราคาประเมิน 198,775 บาท และ 418,700 บาท ตามลำดับ รวมราคาประเมิน 8,729,265 บาท หากซื้อขายในท้องตลาดที่ดินทั้งสามแปลงมีราคาไม่ต่ำกว่า 12,000,000 บาท ตามเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข 4 ถึง 9 ที่ดินทั้งสามแปลงมีภาระหนี้จำนองเหลืออยู่ 3,000,000 บาทเศษ ทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองมีมากกว่าหนี้สินสามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมดไม่เป็นผู้มีหนี้สินพ้นตัว เห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลล้มละลายกลาง แต่กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้ยวความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 28 ทั้งข้ออ้างของจำเลยทั้งสองเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่จะต้องพิจารณาเอาความจริงว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบต้องด้วยข้อสันนิษฐาน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 (9) ว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพันตัว จำเลยทั้งสองมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว ในชั้นพิจารณาของศาลล้มละลายกลาง จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การและไม่สืบพยาน ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา สำหรับสำเนาหนังสือรับรองราคาประเมินและสำเนาโฉนดที่ดินทั้งสามแปลงเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข 4 ถึง 9 ไม่ปรากฏว่าผู้รับรองสำเนาเป็นเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำเอกสารดังกล่าวหรือไม่ ข้ออ้างที่ว่าที่ดินทั้งสามแปลงมีราคาซื้อขายในท้องตลาดไม่ต่ำกว่า 12,000,000 บาท ก็ไม่มีข้อเท็จจริงใดยืนยันว่าเป็นจริงเช่นนั้นและที่อ้างว่าหนี้ที่จำนองที่ดินทั้งสามแปลงเป็นประกันไว้เหลือ 3,000,000 บาทเศษ ก็ไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุนจึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีทรัพย์เพียงพอแก่การชำระหนี้โจทก์ ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าได้ขอปรับโครงสร้างหนี้กับโจทก์พร้อมได้ชำระเงินแก่โจทก์ไปจำนวน 60,000 บาท โจทก์ยอมรับข้อเสนอของจำเลยทั้งสองแล้วจึงมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลายนั้น ไม่ปรากฏว่าข้อเท็จจริงใดๆ ว่าโจทก์ยอมรับข้อเสนอขอปรับโครงสร้างหนี้ของจำเลยทั้งสอง ทั้งเงินที่จำเลยทั้งสองชำระแก่โจทก์ก็เป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับยอดหนี้ที่ยังค้างชำระอยู่ กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share