แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ด้วยว่า ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์มอบคดีแล้ว แต่จำเลยก็มิได้ยกข้อต่อสู้ว่า ผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์มอบคดีโดยชอบด้วยกฎหมายให้เป็นประเด็นขึ้นมา โจทก์จึงไม่มีข้อที่จะต้องนำสืบในข้อนี้ว่า ผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์และเจ้าพนักงานได้บันทึกรับแจ้งความไว้ว่าอย่างไร จำเลยเพิ่งมายกเป็นข้อต่อสู้ขึ้นในชั้นอุทธรณ์หาชอบด้วยกระบวนพิจารณาไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานสมคบกันทำร้ายร่างกาย พยายามฆ่าและหน่วงเหนี่ยวกักขังนายทอด และกล่าวในฟ้องด้วยว่าความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว
จำเลยที่ ๑ ปฏิเสธ จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ป้องกันตัว จำเลยที่ ๓ ต่อสู้อ้างฐานที่อยู่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่๑-๒ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ และ ๓๑๐ วรรคแรก ให้จำคุกกระทงละ ๖ เดือน รวมเป็นจำคุกคนละ ๑ ปีให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๑ – ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ – ๒ ฎีกาข้อกฎหมายว่า คำร้องทุกข์ของผู้เสียหายกินความไม่ถึงความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง เป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบ เพราะไม่ได้ทำเป็นหนังสือ กับว่า ศาลลงโทษจำเลยฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังเกินจากพยานหลักฐานในสำนวน ขอให้ยกฟ้องเฉพาะความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตามมาตรา ๓๑๐
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องแล้วว่า ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์มอบคดีแล้ว แต่จำเลยก็มิได้ยกข้อต่อสู้ว่า ผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์มอบคดีโดยชอบด้วยกฎหมายให้เป็นประเด็นขึ้นมา โจทก์จึงไม่มีข้อที่จะต้องนำสืบในข้อนี้ว่า ผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์และเจ้าพนักงานได้บันทึกรับแจ้งความไว้ว่าอย่างไร จำเลยเพิ่งมายกเป็นข้อต่อสู้ขึ้นในชั้นอุทธรณ์หาชอบด้วยกระบวนพิจารณาไม่ ส่วนข้อที่ว่าศาลลงโทษจำเลยเกินจากพยานหลักฐานในสำนวนนั้น เมื่อคดีฟังได้ว่า จำเลยสมคบกับพวกมัดผู้เสียหาย จำเลยไม่จำต้องเป็นผู้มัดเอง จำเลยก็ย่อมมีความผิดฐานหน่วงเหนี่ยว กักขังแล้ว
ศาลฎีกาพิพากษายืน