คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2868/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ได้ปลูกเรือนพิพาทอาศัยอยู่ด้วยกัน เรือนพิพาทถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ระหว่างอยู่กินด้วยกัน ผู้ร้องกับจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้หนี้ตามสัญญากู้เงินศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้หนี้ให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม จำเลยไม่ยอมชำระ โจทก์ขอบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เรือนไม้ชั้นเดียว 1 หลังที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องจำเลยอยู่ในฐานะผู้อาศัย ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องกับจำเลยอยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภรรยามานานหลายปีแล้วโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ได้ร่วมกันทำมาหาได้และร่วมกันปลูกเรือนไม้ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของผู้ร้องกับจำเลยขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยเรือนที่โจทก์นำยึด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ขณะที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ผู้ร้องกับจำเลยได้อาศัยอยู่ที่เรือนพิพาท ข้อนำสืบของโจทก์มีน้ำหนักและเหตุผลน่าเชื่อว่าหลังจากที่ผู้ร้องกับจำเลยมีบุตรด้วยกันแล้ว ผู้ร้องได้แยกครอบครัวจากนางสุ่นมารดาผู้ร้องมาปลูกเรือนพิพาทอยู่อาศัย แม้ผู้ร้องกับจำเลยจะเป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส เรือนพิพาทก็ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ระหว่างอยู่กินด้วยกัน ผู้ร้องกับจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ผู้ร้องไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share