คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2868/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดให้โจทก์ทำให้โจทก์ได้แต่สิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ก่อนตามป.พ.พ.มาตรา1300เท่านั้นโจทก์หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวไม่โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนโฉนดสำหรับที่ดินดังกล่าวจากบุคคลผู้ยึดถือโฉนดนั้นไว้ตามมาตรา1336.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตกลงยอมความกันยอมให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในโฉนด ศาลพิพากษาตามยอมจำเลยที่ 1 ที่ 2 กู้เงินจำเลยที่ 3 และให้จำเลยที่ 3 ยึดโฉนดดังกล่าวไว้ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามส่งมอบโฉนดเพื่อจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสามส่งมอบโฉนดให้โจทก์
จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 3 ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ส่งมอบโฉนดให้กับโจทก์แลและให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 500 บาท ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นคู่สัญญา มิได้เป็นจำเลยในคดีซึ่งจะต้องถูกต้องบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และจำเลยที่ 3 มีสิทธิยึดถือเอาโฉนดพิพาทไว้ในฐานะาเจ้าหนี้จำนอง พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 99/2514 ของศาลจังหวัดเพชรบุรี โจทก์ทั้งห้าในคดีดังกล่าวซึ่งรวมโจทก์คดีนี้ด้วยกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้ที่ดินโฉนดที่ 118 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งห้ากับนางสาวศศิธร เวียนวงศ์ ร่วมกันปรากฎตามเอกสารหมาย จ.1 และศาลจังหวัดเพชรบุรีได้พิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวนั้นแล้ว ดังนี้โจทก์ได้แต่สิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 โจทก์หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 118 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองไม่ เมื่อโจทก์มิได้เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดดังกล่าว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนโฉนดสำหรับที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ดังที่โจทก์ฎีกา กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้เอาที่ดินโฉนดดังกที่ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้เอาที่ดินโฉนดดังกล่าวไปจำนองไว้กับจำเลยที่ 3 จริงหรือไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้”.

Share