คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2863/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ได้เอาประกันภัยรถยนต์ไว้กับจำเลย ในระหว่างอายุสัญญาลูกจ้างโจทก์กระทำละเมิดต่อ ป. จำเลยมิได้เป็นผู้กระทำละเมิดต่อ ป. การที่จำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่ ป. ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่ ป. จึงเป็นการที่จำเลยยอมรับปฏิบัติตามความผูกพันที่มีอยู่ในสัญญาประกันวินาศภัยที่โจทก์ได้ทำไว้กับจำเลยปรากฏว่าเหตุวินาศภัยรายนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2521 แต่จำเลยยอมชำระค่าเสียหายให้แก่ ป.เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2525 เป็นเวลาเกินกว่า 2 ปีนับแต่ที่วินาศภัยเกิดขึ้น จึงเป็นการชำระหนี้ในขณะที่สิทธิเรียกร้องตามสัญญาประกันวินาศภัยที่เกี่ยวกับวินาศภัยครั้งนี้ขาดอายุความแล้วถือได้ว่าจำเลยละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 192ดังนั้น เมื่อโจทก์คดีนี้ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันวินาศภัยส่วนที่ยังขาดอยู่ จำเลยจึงจะยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความในจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่ยังขาดอยู่อีกนั้น หาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ได้เอาประกันภัยรถยนต์ไว้กับจำเลยตั้งแต่วันที่ 30พฤศจิกายน 2520 มีกำหนดอายุสัญญา 1 ปี เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2521นายต่อนได้ขับรถของโจทก์ไปชนท้ายรถยนต์ของกรมชลประทานเป็นเหตุให้รถยนต์ของกรมชลประทานแล่นไถลไปชนรถยนต์ของนายประธานเสียหายนายประธานได้ฟ้องโจทก์ให้รับผิด ศาลได้พิพากษาให้โจทก์ใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่นายประธาน จำเลยได้นำเงินชำระให้แก่นายประธาน และนายประมุข ผู้รับมรดกความนายประธานไม่เต็มตามจำนวนที่โจทก์ต้องรับผิดขอให้จำเลยใช้เงินจำนวนที่ยังขาดอยู่ 22,457.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์จะต้องชำระเพิ่มอีกเพียงจำนวนไม่เกิน5,000 บาท และต่อสู้ว่าโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันวินาศภัย ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 17,807.50 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าโจทก์ได้เอาประกันวินาศภัยรถยนต์ไว้กับบริษัทประกันภัยจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้อง เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2521 ซึ่งเป็นเวลาระหว่างอายุสัญญาดังกล่าว นายต่อนลูกจ้างโจทก์ได้ขับรถคันที่เอาประกันภัยชนรถยนต์ของกรมชลประทานเป็นเหตุให้รถที่ถูกชนแล่นไถลไปชนรถยนต์ของนายประธาน เสนาดิสัย ได้รับความเสียหาย นายประธาน เสนาดิสัยได้ฟ้องให้โจทก์รับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์รับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายประธาน เสนาดิสัย เป็นเงิน 42,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 11 เมษายน2521 จนกว่าจะชำระเสร็จ รวมทั้งให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 578/2522 ของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายประธาน เสนาดิสัย เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2525 แต่ไม่เต็มจำนวนหนี้ทั้งหมดตามคำพิพากษา โจทก์จึงฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2526 ให้จำเลยรับผิดในค่าใช้จ่าย ค่าดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องชำระเพิ่มให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายประธาน เสนาดิสัย นั้นเป็นการชำระหนี้ในมูลละเมิดที่นายประธานฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์ มิใช่เนื่องจากความรับผิดตามสัญญาประกันวินาศภัย จึงมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความและคดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 แล้ว เห็นว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำละเมิดต่อนายประธานลูกจ้างโจทก์ต่างหากที่เป็นผู้กระทำละเมิดต่อนายประธาน การที่จำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายประธานตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่นายประธาน จึงเป็นการที่จำเลยยอมรับปฏิบัติตามความผูกพันที่มีอยู่ในสัญญาประกันวินาศภัยที่โจทก์ได้ทำไว้กับจำเลย ปรากฏว่าเหตุวินาศภัยรายนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 มีนาคม2521 แต่จำเลยยอมชำระค่าเสียหายให้แก่นายประธานเมื่อวันที่ 18มีนาคม 2525 เป็นเวลาเกินกว่า 2 ปีนับแต่ที่วินาศภัยเกิดขึ้นจึงเป็นการชำระหนี้ในขณะที่สิทธิเรียกร้องตามสัญญาประกันวินาศภัยที่เกี่ยวกับวินาศภัยครั้งนี้ขาดอายุความแล้ว ถือได้ว่าจำเลยละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192ดังนั้น เมื่อโจทก์คดีนี้ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันวินาศภัยส่วนที่ยังขาดอยู่ จำเลยจึงจะยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความในจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่ยังขาดอยู่อีกนั้นหาได้ไม่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share