คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2859/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ลูกจ้างแจ้งความชำนาญหรือความถนัดของตนในการสมัครงานและนายจ้างมีคำสั่งรับเข้าทำงานในแผนกใดแล้ว ไม่เป็นการผูกพันนายจ้างที่จะต้องให้ลูกจ้างทำงานในแผนกนั้นตลอดไป หากต่อมามีความจำเป็น มีความเหมาะสม นายจ้างมีอำนาจย้ายลูกจ้างไปทำงานในแผนกอื่นในบริษัทเดียวกันโดยลูกจ้างคงได้รับค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิมได้
โจทก์ไม่สามารถเข้ากันได้กับผู้บังคับบัญชา จำเลยผู้เป็นนายจ้างมีอำนาจย้ายโจทก์ไปทำงานในแผนกใหม่เพื่อความเหมาะสมได้ และโจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเพราะเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งโดยไม่ยอมลงชื่อทราบคำสั่ง ไม่ไปรายงานตัวเพื่อทำงานในแผนกใหม่ และจำเลยได้ออกคำเตือนเป็นหนังสือมากกว่า 3 ครั้งแล้ว จำเลยจึงมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย การเลิกจ้างดังกล่าวไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและจำเลยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างจำเลย ทำงานแผนกบัญชีโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ จำเลยได้มีคำสั่งย้ายโจทก์ที่ ๑, ๒, ๓ ไปเป็นพนักงานเช็คเกอร์ แผนกแม่บ้านย้ายโจทก์ที่ ๔ ไปเป็นพนักงานรักษาเวลา แผนกบุคคล อันเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ ไม่ชอบด้วยข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและกฎหมาย โจทก์ทั้งสี่จึงไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง จำเลยจึงได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่โดยไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่
จำเลยให้การว่า จำเลยมีอำนาจย้ายโจทก์ทั้งสี่ได้ เมื่อโจทก์ทราบคำสั่งย้ายแล้วไม่ไปรายงานตัวและทำงานตามหน้าที่ใหม่ จึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา จำเลยได้เตือนโจทก์เป็นหนังสือหลายครั้งแล้วโจทก์ก็ยังไม่เข้ารายงานตัวเพื่อทำงาน จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และมิใช่การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ทั้งสี่แจ้งความชำนาญหรือความถนัดของตนในการสมัครงาน และจำเลยมีคำสั่งรับโจทก์เข้าทำงานในแผนกใดแล้วไม่เป็นการผูกพันจำเลยที่จะต้องให้โจทก์ทำงานอยู่ในแผนกนั้นตลอดไป หากต่อมามีความจำเป็นมีความเหมาะสมที่จำเลยจะย้ายโจทก์ทั้งสี่ไปทำงานในแผนกอื่นในบริษัทเดียวกันโดยโจทก์ทั้งสี่คงได้รับค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิมจำเลยก็ย่อมมีอำนาจทำได้ และจำเลยก็ได้ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์ทั้งสี่เป็นอย่างมากอยู่แล้ว เพราะแม้สมุห์บัญชีบริษัทจำเลยจะเสนอให้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ในทันที จำเลยก็มิได้ปฏิบัติตามข้อเสนอนั้น แต่ได้สั่งให้สอบสวนโจทก์ทั้งสี่ก่อน แม้สอบสวนแล้วผู้จัดการแผนกบุคคลของจำเลยจะมีความเห็นว่าควรเลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ และย้ายแผนกโจทก์อื่น กรรมการบริหารของจำเลยก็ยังเห็นว่าโจทก์ที่ ๑ ทำงานมานาน ควรให้อยู่ดูไปก่อน โจทก์ทั้งสี่จึงเพียงแต่ถูกย้ายไปทำงานในแผนกอื่นเนื่องจากมีความเห็นของผู้จัดการแผนกบุคคลว่าโจทก์ไม่สามารถจะเข้ากันได้กับสมุห์บัญชี ดังนี้จึงนับว่าจำเลยมีความจำเป็นที่จะต้องย้ายโจทก์ทั้งสี่เพื่อความเหมาะสม เพราะการที่โจทก์ทั้งสี่จะยังคงทำงานอยู่ในแผนกเดิมทั้ง ๆ ที่มีความขัดแย้งกับสมุห์บัญชีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา งานในแผนกบัญชีคงจะมีความขลุกขลักไม่ราบรื่นอันจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อจำเลยได้ หากจำเลยไม่มีอำนาจโยกย้ายลูกจ้างของตนโดยจะต้องปฏิบัติตามต้องการของลูกจ้างแล้ว กิจการของจำเลยจะตั้งอยู่ได้อย่างไร คำสั่งของจำเลยจึงไม่ขัดต่อกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของจำเลย เมื่อจำเลยออกคำสั่งย้ายโจทก์ทั้งสี่ไปทำงานในแผนกใหม่ โจทก์ทั้งสี่จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเพราะเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ทั้งสี่ฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าวโดยไม่ยอมลงชื่อทราบคำสั่งและไม่ไปรายงานตัวเพื่อทำงานในแผนกใหม่ และจำเลยได้ออกคำเตือนเป็นหนังสือมากกว่า ๓ ครั้ง จำเลยจึงมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๔๗(๓) การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ของจำเลยจึงไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และจำเลยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
พิพากษายืน

Share