คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2856/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในคดีแพ่งไว้ว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ การที่จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ลายมือชื่อในสัญญาดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยย่อมเป็นการเบิกความเกี่ยวกับประเด็นพิพาทอันเป็นข้อแพ้ชนะคดี ถือได้ว่าเป็นข้อสำคัญในคดีดังนั้น ไม่ว่าผลของคดีจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ต่อไปหรือไม่ เมื่อคำเบิกความนั้นเป็นเท็จแล้ว การกระทำของจำเลยย่อมเข้าครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรกหาจำต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยจะต้องก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทำนั้นจึงจะเป็นความผิดแต่อย่างใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 วรรคแรก จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยเบิกความว่า จำเลยเบิกความในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 334/2531 คดีหมายเลขแดงที่ 1056/2531 ของศาลจังหวัดระยอง ไปตามความสัตย์จริง ศาลจังหวัดระยองพิพากษาเพียงให้จำเลยคืนเงินมัดจำและชดใช้ค่าเสียหาย มิได้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยกับนางสาวศิริวรรณและไม่ได้เอาคำเบิกความของจำเลยไปวินิจฉัยไม่ทำให้โจทก์เสียหายนั้น เห็นว่าคดีแพ่งดังกล่าวศาลจังหวัดระยองได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ การที่จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญาดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย จึงเป็นการเบิกความเกี่ยวกับประเด็นพิพาทอันเป็นข้อแพ้ชนะคดี ถือได้ว่าเป็นข้อสำคัญในคดี ดังนั้น ไม่ว่าผลของคดีจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ต่อไปหรือไม่ หากคำเบิกความนั้นเป็นเท็จแล้ว การกระทำของจำเลยย่อมเข้าครบองค์ประกอบเป็นความผิดตามกฎหมาย หาจำต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยจะต้องก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทำนั้นจึงจะเป็นความผิดแต่อย่างใดไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 334/2531หมายเลขแดงที่ 1056/2531 ของศาลจังหวัดระยอง แต่ในกรณีดังกล่าวจำเลยได้เบิกความต่อศาลว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาดังกล่าวกับโจทก์เพราะลายมือชื่อผู้จะขายไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยและคาดว่าจะมีคนนำไปปลอม ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงเป็นเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง อย่างไรก็ตามในคดีแพ่งที่จำเลยเบิกความเท็จนั้น มีมูลเหตุจูงใจมาจากจำเลยขายที่ดินให้แก่นางสาวศิริวรรณได้ในราคาสูงกว่าที่จะขายให้แก่โจทก์ จำเลยจึงต้องปฏิเสธว่าไม่ได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์เพื่อต้องการไม่ให้ถูกบังคับให้ขายที่ดินแก่โจทก์ตามสัญญา ดังนี้เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับจำเลยรับราชการเป็นครูไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน มีเหตุอันควรปรานีเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด1 ปี โดยไม่รอการลงโทษนั้น เห็นว่าหนักเกินไป สมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลย และเมื่อจะรอการลงโทษให้จำเลยแล้ว ก็ควรจะลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 วรรคแรก จำคุก 1 ปี ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

Share