คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2853/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเข้าไปนั่งชมโทรทัศน์ในบ้านผู้เสียหายโดยผู้เสียหาย ยินยอม ต่อมาผู้เสียหายให้จำเลยกลับออกไปโดยผู้เสียหาย เดินมาส่งจำเลยที่ประตูบ้าน เมื่อจำเลยเดินออกประตูบ้าน และผู้เสียหายกำลังจะปิดประตูบ้าน จำเลยกลับดึงบานประตูบ้าน ไว้แล้วใช้กำลังประทุษร้ายและกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรและมีเจตนา รบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายเพียงแต่เมื่อจำเลยจะออกจากบ้านผู้เสียหายจึงถือโอกาสกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายเท่านั้น ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาบุกรุกแต่เพียงว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควรและกระทำการอันเป็นการรวบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขเท่านั้น ไม่ได้บรรยายถึงเหตุที่จำเลยไม่ยอมออกเมื่อผู้เสียหายไล่ให้ออกแล้วด้วยถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกด้วยเหตุดังกล่าวจึงลงโทษจำเลยฐานบุกรุกไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2536 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านและบริเวณบ้านอันเป็นเคหสถานของนางสายสุนีย์ ณ พัทลุง ผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควร แล้วจำเลยกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายซึ่งมีอายุกว่าสิบห้าปีโดยกอดปล้ำและใช้กำลังประทุษร้าย ปิดปากผู้เสียหายไม่ให้ร้องและฉุดกระชากดึงผมลากตัวผู้เสียหายเพื่อจะข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเป็นบาดแผลได้รับอันตรายแก่กายอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 295, 364, 365
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 295, 364, 365(1)(3)การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ให้จำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องเวลากลางวัน จำเลยเข้าไปช่วงตึงในเคหสถานของนางสายสุนีย์ ณ พัทลุง ผู้เสียหาย ตามที่ผู้เสียหายขอร้องต่อมาเวลากลางคืนจำเลยเข้าไปนั่งชมรายการโทรทัศน์ในบ้านผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายยินยอม ต่อมาผู้เสียหายให้จำเลยกลับออกไปโดยผู้เสียหายกำลังจะปิดประตูบ้าน จำเลยกลับดึงบานประตูบ้านไว้แล้วใช้กำลังประทุษร้ายและกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อกฎหมายที่ศาลฎีกาสั่งรับมาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 หรือไม่เห็นว่า จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเพื่อชมรายการโทรทัศน์ก็โดยได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรและมีเจตนารบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหาย เพียงแต่เมื่อจำเลยจะออกจากบ้านผู้เสียหาย จึงถือโอกาสกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายเท่านั้นการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 และเมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 แล้วจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(1)(3) ด้วยฎีกาของจำเลยฟังขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่า เมื่อผู้เสียหายให้จำเลยกลับออกจากบ้านไปแล้วจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย เป็นกรณีที่จำเลยไม่ยอมออกจากบ้านผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายให้ออกไปจำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกนั้น เป็นการพิพากษาเกินคำขอที่โจทก์กล่าวในฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ เพราะโจทก์บรรยายฟ้องข้อหาบุกรุกแต่เพียงว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันควรและกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขเท่านั้นไม่ได้บรรยายถึงเหตุที่จำเลยไม่ยอมออกเมื่อผู้เสียหายไล่ให้ออกแล้วด้วย ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกด้วยเหตุดังกล่าว จึงลงโทษจำเลยฐานบุกรุกด้วยเหตุดังกล่าวไม่ได้ปัญหาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาในข้อที่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องมานี้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานบุกรุกนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share