คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2852/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ส.เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วเข้าทำนาในที่ดินพิพาทร่วมกับโจทก์ เมื่อ ส.ตายโจทก์ได้เช่าที่ดินพิพาททำนาต่อมา จึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 แม้จะครอบครองอยู่นานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครองเป็นเจ้าของ ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทับที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้แล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามจำเลยที่ 2 มีอำนาจสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกให้โจทก์ได้

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในสำนวนหลังเป็นโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 3 ตามสำนวนแรกตามลำดับ และเรียกโจทก์ในสำนวนหลังซึ่งเป็นจำเลยที่ 2ในสำนวนแรกเป็นจำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกเป็นจำเลยที่ 2 สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 617และ 619 เป็นที่ดินแปลงเดียวกันโดยบิดามารดาของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นพ่อตาแม่ยายของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ได้ซื้อมาจากนางเกี้ยงจนกระทั่งปี พ.ศ. 2507 นางสิงห์ แก้วมณีจันทร์ มารดาโจทก์ที่ 1ได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 จำนวน 15 ไร่เศษและยกให้แก่โจทก์ที่ 3 และนางใบ มะเสนา ร่วมกัน 5 ไร่เศษ โจทก์ทั้งสามได้ครอบครองตลอดมาโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้ขอออก น.ส.3 เป็นเลขที่ 617 โจทก์ที่ 3ขอออก น.ส.3 เป็นเลขที่ 619 ต่อมาปี พ.ศ. 2525 จำเลยที่ 2 ได้ยื่นเรื่องราวกล่าวหาว่า โจทก์ที่ 1 และนางใบ มะเสนา ภริยาโจทก์ที่ 3 ร่วมกันออก น.ส.3 ทับ น.ส.3 เลขที่ 109 ต่อมาจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ได้มีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 617 และ 619 จึงขอให้พิพากษายกเลิกหนังสือคำสั่งที่ 513/2526 ลงวันที่ 26 เมษายน 2526 ให้จำเลยที่ 1 สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เสียใหม่ให้ศาลมีคำสั่งว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาททั้งหมด และห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 617 และ 619 ตามฟ้องโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะทับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่109 ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ได้ออกให้จำเลยที่ 2 ไว้ก่อนแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 617 และ 619 โจทก์ทิ้งฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ สำนวนที่สองโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 109 โดยได้รับมรดกมาจากนางเกี้ยง วงษ์แสนเมือง ซึ่งเป็นย่าของโจทก์ตั้งแต่วันที่3 มิถุนายน 2501 ต่อมาปี พ.ศ. 2512 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้คบคิดกับเจ้าพนักงานอำเภอกันทรวิชัยร่วมกันออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ทับที่ดินโจทก์ทั้งหมด และจำเลยทั้งสองได้เข้าไปสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัย โจทก์จึงได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมทางราชการได้มีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 617 และ 619 ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารรื้อถอนบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสองและออกไปให้พ้นจากที่ดินโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินที่จำเลยทั้งสองออก น.ส.3นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสอง เดิมเป็นของบิดามารดาจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพ่อตาแม่ยายจำเลยที่ 2 จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2512ทางราชการจึงอนุญาตให้ประชาชนจับจอง จำเลยที่ 1 และภริยาจำเลยที่ 2 ได้ขอจับจองโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ทางราชการจึงออกใบจอง(น.ส.2) ให้จำเลยที่ 1 และภริยาจำเลยที่ 2 แล้วได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 617, 619 ให้จำเลย ทางราชการออก น.ส.3 ให้จำเลยถูกต้องตามกฎหมาย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำนวนแรกให้ขับไล่โจทก์ที่ 1 ที่ 3 (ซึ่งเป็นจำเลยทั้งสองในสำนวนหลัง) กับบริวารให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของจำเลยที่ 1 (โจทก์สำนวนที่สอง) ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 109 ตำบลคันธารราษฎร์ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ห้ามมิให้เข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป โจทก์ที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์สำนวนที่สองให้โจทก์ (สำนวนแรก) มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาททั้งหมด ห้ามจำเลยที่ 1 เข้าเกี่ยวข้อง และให้ยกเลิกคำสั่งของจำเลยที่ 2ที่ 513/2526 ลงวันที่ 26 เมษายน 2526 จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังได้ในเบื้องต้นว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนางเกี้ยง วงษ์แสนเมืองจำเลยที่ 1 ได้รับโอนที่ดินพิพาทจากนางเกี้ยงโดยทางมรดก ต่อมานายเสาร์ แก้วมณีจันทร์ บิดาของโจทก์ที่ 1 และภริยาโจทก์ที่ 3ได้เข้าทำนาในที่ดินพิพาทร่วมกับโจทก์ทั้งสาม เมื่อปี พ.ศ. 2512ทางราชการออกประกาศให้ราษฎรขอจับจองที่ดินรกร้างว่างเปล่าได้โจทก์ที่ 1 และภริยาโจทก์ที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอจับจองที่ดินพิพาททางราชการจึงออกใบจองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ตามภาพถ่ายหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 ต่อมาทางจังหวัดมหาสารคามได้มีคำสั่งที่ 513/2526 ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 โดยให้เหตุผลว่าได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวทับที่ของจำเลยที่ 1 ปัญหามีว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทหรือไม่ ปรากฏจากทะเบียนการครอบครองที่ดินเอกสารหมาย ล.1 ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโอนที่ดินพิพาทจากนางเกี้ยง วงษ์แสนเมือง เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2501และทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 เบิกความว่าได้ให้นายเสาร์ แก้วมณีจันทร์ เช่าทำนาแทน โดยมีนายช่วย แก้วจุมพล และนายอุบล เรืองสมบัติ มาเบิกความสนับสนุนฝ่ายโจทก์มีแต่เพียงโจทก์ที่ 2 และที่ 3 มาเบิกความลอย ๆว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายเสาร์ และนางสิงห์ แก้วมณีจันทร์แต่โจทก์ทั้งสองก็ไม่ทราบว่าบุคคลทั้งสองได้ที่ดินพิพาทมาอย่างไรแม้โจทก์จะมีนายช่วง นิงคะลี และนายพิมพ์ บุปผาเฮ้า มาเบิกความว่า นายเสาร์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ในราคา 1,500 บาทโดยทำสัญญากันไว้ แต่โจทก์ก็ไม่มีหนังสือสัญญาดังกล่าวมาแสดงนอกจากนี้หากนายเสาร์ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 จริง ก็น่าจะดำเนินการให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทมาเป็นของตนให้ถูกต้องเพราะได้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานโจทก์ น่าเชื่อว่านายเสาร์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วเข้าทำนาในที่ดินพิพาทร่วมกับโจทก์ทั้งสาม เมื่อนายเสาร์ตายโจทก์ทั้งสามเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อมา จึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของแม้จะครอบครองอยู่นานเท่าใด โจทก์ทั้งสามก็ไม่ได้สิทธิครอบครองเป็นเจ้าของ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1 และนางใบภริยาโจทก์ที่ 3 ตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 ทับที่ดินของจำเลยที่ 1ซึ่งได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้แล้ว การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามจำเลยที่ 2 มีคำสั่งที่ 513/2526 ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 ดังกล่าว จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาททั้งหมด ให้ยกฟ้องโจทก์สำนวนที่สอง (จำเลยที่ 1) และให้ยกเลิกคำสั่งที่ 513/2526 ของจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share