คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 285/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อระบุว่า “ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดก็ดี หรือผู้เช่าซื้อจะต้องชำระเงินใด ๆ แก่เจ้าของตามสัญญาประการใดก็ดี หรือผู้เช่าซื้อจะต้องชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาประการใดประการหนึ่งก็ดี ผู้เช่าซื้อยอมเสียดอกเบี้ยสำหรับเงินที่ค้างชำระและหรือค่าเสียหายนับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี…” เมื่อเงินค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถเป็นค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาประการหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1ใช้ดอกเบี้ยตามสัญญาได้ แต่ข้อสัญญาดังกล่าวถือว่าเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับเมื่อค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจกำหนดให้ลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยเกินคำขอของโจทก์ ถึงแม้จำเลยที่ 1 จะฎีกาเพียงคนเดียว แต่กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1),247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ 1 คันราคา 335,000 บาท ชำระเงินในวันทำสัญญา 53,000 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระ 40 งวด งวดละ 1 เดือน เดือนละ 7,050 บาท จำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อถึงงวดที่ 15 ก็ผิดนัด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากไม่ส่งคืนให้ใช้ราคา 174,546 บาท ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 6,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถที่เช่าซื้อหรือใช้ราคาให้แก่โจทก์ครบ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ผิดนัด เมื่อจำเลยที่ 1เช่าซื้อรถโจทก์มาได้ 15 เดือน แล้วได้แจ้งให้โจทก์เปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 เป็นผู้อื่นเป็นผู้เช่าซื้อกับโจทก์สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเลิกกันจำเลยไม่มีภาระจะต้องรับผิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินควรจำเลยที่ 2 ไม่ได้ค้ำประกันหนี้เช่าซื้อของจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาและไม่แจ้งให้จำเลยชำระค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพใช้การได้ดีด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยเอง หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 100,000 บาท และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 60,000 บาท กับค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคาให้แก่โจทก์ทั้งนี้ไม่เกิน 15 เดือน นับแต่วันฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันที่5 ธันวาคม 2526 ซึ่งเป็นวันเลิกสัญญาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อต่อไปมีว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของค่าเสียหาย 60,000 บาท ทั้งการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่5 ธันวาคม 2526 ซึ่งเป็นวันเลิกสัญญาก็ไม่ชอบเพราะโจทก์ขอดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง พิเคราะห์แล้วสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 7ระบุว่า “ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดก็ดีหรือผู้เช่าซื้อจะต้องชำระเงินใด ๆ แก่เจ้าของตามสัญญาประการใดก็ดี หรือผู้เช่าซื้อจะต้องชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาประการใดประการหนึ่งก็ดี ผู้เช่าซื้อยอมเสียดอกเบี้ยสำหรับเงินที่ค้างชำระและหรือค่าเสียหายนับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี…” เห็นว่า เงินค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถนั้น เป็นค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาประการหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีได้ และข้อความในสัญญาข้อ 7 นี้ ถือได้ว่าเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์แล้ว ปรากฏว่าศาลล่างทั้งสองได้กำหนดค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์อันควรได้จากรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปเป็นจำนวนพอสมควรแล้วดอกเบี้ยของค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาตามสัญญาจึงสูงเกินส่วนเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยที่ 1 เสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2526 ซึ่งเป็นวันเลิกสัญญาก็เป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะโจทก์ขอดอกเบี้ยมานับแต่วันฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245(1), 247
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share