แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันทำใบมอบอำนาจปลอมใช้ชื่อจำเลยที่ 1 รับมอบอำนาจจากโจทก์ โดยบรรยายฟ้องว่าความจริงโจทก์ไม่ได้ลงชื่อในใบมอบอำนาจ เป็นข้ออ้างว่าลายมือชื่อในใบมอบอำนาจมิใช่ลายมือชื่อที่โจทก์ลงชื่อไว้แจ่มแจ้งแล้ว ไม่เคลือบคลุมแต่อย่างใด
จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้นว่าพฤติการณ์ของโจทก์เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเสียหาย จึงไม่เป็นข้อที่จะยกขึ้นฎีกาได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๗๗๕๘ จำเลยที่ ๑ ใช้ชื่อปลอมสมคบกับจำเลยที่ ๒, ๓ หลอกลวงโจทก์ จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวราคา ๑๕๗,๒๐๐ บาท ให้โจทก์นำโฉนดไปมอบให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดทำการสอบเขต แล้วจำเลยที่ ๑, ๒ สมคบกันทำใบมอบอำนาจปลอมใช้ชื่อจำเลยที่ ๑ รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้มาเลิกการสอบเขตและโอนขายให้จำเลยที่ ๒ ราคา ๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยโจทก์ไม่ได้ลงชื่อในใบมอบอำนาจแล้วโอนขายให้จำเลยที่ ๓ รับซื้อฝากในราคา ๔๕,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ กับนิติกรรมขายฝากระหว่างจำเลยที่ ๒, ๓ ให้แก้ทะเบียนหลังโฉนดที่ดินแปลงนี้ให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ตามเดิม
จำเลยที่ ๑, ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ตามคำขอท้ายฟ้อง
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ข้อหาบรรยายข้อความชัดเจนแล้วว่าความจริงโจทก์ไม่ได้ลงชื่อในใบมอบอำนาจนั้น เป็นข้ออ้างว่าลายมือชื่อในใบมอบอำนาจมิใช่ลายมือชื่อที่โจทก์ลงไว้แจ่มแจ้งแล้ว ไม่เคลือบคลุมแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่าพฤติการณ์ของโจทก์เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยที่ ๓ เสียหายนั้น จำเลยที่ ๓ มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้น จึงไม่เป็นข้อที่จะยกขึ้นฎีกาได้
พิพากษายืน.