แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางที่ใช้ขนไม้แปรรูปหวงห้ามโดยโจทก์มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำของผู้ต้องหาเมื่อพิจารณา พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 64 ทวิที่บัญญัติให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจยึดรถยนต์ของกลางไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี จนกว่าพนักงานอัยการสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องหรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นของผู้กระทำความผิดหรือของผู้มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ซึ่งตามบทบัญญัติของมาตรานี้มิได้มีข้อความระบุถึงกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด จะตีความว่าบทบัญญัติดังกล่าวมีความมุ่งหมายให้ยึดทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดไม่ได้ และรถยนต์ของกลางก็มิได้เป็นหลักฐานสำคัญแห่งองค์ความผิดเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความผิดของผู้กระทำความผิดว่ากระทำความผิดฐานมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต พนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่มีอำนาจยึดรถยนต์ของกลางซึ่งเป็นของโจทก์ไว้ประกอบคดีจนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามนัย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุก6 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน 80-2940 หนองคาย ไม่ได้ให้ความยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการที่นายแสน แสงหล้า ลูกจ้างโจทก์นำไปรับจ้างบรรทุกไม้แปรรูปหวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48,73 นายแสนหลบหนีการจับกุม พนักงานสอบสวน (จำเลยที่ 2)ยึดไม้แปรรูปและรถยนต์คันดังกล่าวเป็นของกลาง และได้มอบให้จำเลยที่ 4 (เจ้าพนักงานป่าไม้) เก็บรักษาไว้แทน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนรถยนต์ของกลางและค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2เคลือบคลุม โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ของกลางและรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดทั้งรถยนต์ของกลางเป็นเครื่องใช้และยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด โจทก์ไม่มีสิทธิขอรถยนต์ของกลางคืน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 (กรมตำรวจ),จำเลยที่ 3 (กรมป่าไม้) และที่ 4 ร่วมกันคืนรถยนต์บรรทุก 6 ล้อยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน 80-2940 หนองคาย ให้แก่โจทก์คำขออื่นให้ยก สำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิขอคืนรถยนต์ของกลางหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของนายแสนผู้ต้องหา ขณะนี้การสอบสวนเกี่ยวกับความผิดของนายแสนเสร็จสิ้นแล้วและมีคำสั่งฟ้องนายแสน แต่พนักงานอัยการไม่อาจนำตัวนายแสนส่งฟ้องต่อศาลได้ เนื่องจากนายแสนหลบหนีไปจนปัจจุบันนี้ โจทก์เองก็ไม่อาจยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 เพราะกรณีมิใช่ศาลมีคำสั่งริบรถยนต์ของกลาง แต่เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 64 ทวิ ซึ่งบัญญัติว่า “ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจยึดบรรดาเครื่องมือ เครื่องใช้ สัตว์พาหนะ ยานพาหนะหรือเครื่องจักรกลใด ๆ ที่บุคคลได้ใช้หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา 11 มาตรา 48 มาตรา 54 หรือมาตรา 69 ไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ จนกว่าพนักงานอัยการสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีหรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นของผู้กระทำความผิดหรือของผู้มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ ซึ่งตามบทบัญญัติของมาตรานี้ มิได้มีข้อความระบุถึงกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด จะตีความว่าบทบัญญัติดังกล่าวมีความมุ่งหมายให้ยึดทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดไม่ได้ และรถยนต์ของกลางก็มิได้เป็นหลักฐานสำคัญแห่งองค์ความผิดเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความผิดของนายแสนว่ากระทำความผิดฐานมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานไม่มีอำนาจยึดรถยนต์ของโจทก์เอาไว้ประกอบคดีจนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 วรรคท้ายจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ต้องคืนรถยนต์ของกลางให้โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น